บทที่ 8 ท่านลุงสายเปย์
มนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเอง หนิงอันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ นางยืนอึ้งขณะมองงานเลี้ยงส่งแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านลุงเซ่า นี่ออกจะเยอะเกินไปหรือไม่”
หนิงอันเพิ่งมาถึงทางเหนือได้ไม่นาน นางลืมไปแล้วว่าแถบนี้หนาวเย็นกว่า แม้จะใช้เวลาเดินทางจากเมืองที่เคยอยู่มาไม่ไกล ยิ่งนอกเมืองก็ยิ่งหนาวเย็นเพราะมีต้นไม้เยอะ ดังนั้นพอมาถึงก็ดันหนาวสั่นจนต้าเซ่าทนไม่ได้ มอบเสื้อผ้าให้กองโต
“ของเก่าขายไม่ได้แล้ว แม้จะขายก็ได้ไม่มาก เจ้าเอาไปใส่เถอะ”
หนิงอันอ้าปากสั่น ๆ เมื่อมือใหญ่พยายามยัดผ้าคลุมขนจิ้งจอกอย่างดีในมือให้นางอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ รู้สึกว่าไม่น่าบอกเขาเลยจริง ๆ
ก่อนหน้านี้พอเริ่มรู้สึกหนาว หนิงอันก็เพียงเปรยว่า บิดาสัญญากับนางปีนี้จะล่าจิ้งจอกเอาหนังมาทำผ้าคลุมให้ แต่เขากลับตายจากไปก่อน ต้าเซ่าที่คิดว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ของหนิงอันไปแล้วคงอยากจะชดเชยให้นางจึงทำเช่นนี้ แต่นี่มันมากเกินไป
“ไม่มากไปหรอก ต่อไปเจ้ากตัญญูต่อข้าก็เพียงพอ”
“ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จักข้าดี เหตุใดจึงไว้ใจข้าถึงเพียงนี้” เดินทางมาด้วยกันเพียงสองวัน แต่ต้าเซ่าดีกับนางจริง ๆ
“อย่าพูดมากแล้วรับไปเถอะ”
“แต่ข้าจะขนทั้งหมดนี่ไปไว้ที่ไหน” ว่าแล้วก็หันมองเสื้อผ้ากองเป็นภูเขา นี่คือที่ต้าเซ่ารื้อออกมาจากกองคาราวาน ตอนแรกมันก็ยัดอยู่ในรถม้าดี ๆ ตอนนี้กลับมากองตรงหน้านางแล้ว
“เช่นนั้นต่อไปจวนข้าจะมีเรือนของเจ้าหลังหนึ่ง เมื่อต้องการเสื้อผ้าก็แวะมาเปลี่ยนได้” ชายตัวโตหูแดงเล็กน้อยขณะพูด
ตอนนี้หนิงอันอยู่ในจวนของต้าเซ่าซึ่งอยู่ในเมืองทางเหนือ คราแรกนางต้องการแยกทางกับเขาตั้งแต่เข้าเมืองมา แต่ท่านลุงหน้าโหดไม่ยอมจะพานางกลับบ้านให้ได้ หญิงสาวจึงต้องตามมา
มองไปรอบ ๆ จวนหลังนี้แม้ไม่ใหญ่มากแต่เมื่อเทียบค่าครองชีพคาดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าจะได้มา ต้าเซ่าคงร่ำรวยไม่น้อย
หนิงอันไม่คิดเปิดโปงแผนการเล็ก ๆ น้อย ๆ ของชายวัยกลางคน ที่แท้เขาก็ต้องการให้นางมีเรือนของตนเองในจวนเขาตั้งแต่แรก กลับเอาเรื่องเสื้อผ้ามาเป็นข้ออ้าง ช่างเป็นท่านลุงหน้าโหดที่น่าเคารพรักเสียจริง
“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตา บุญคุณนี้หนิงอันไม่มีวันลืม”
“แวะมาเยี่ยมข้าบ้างก็พอ แค่ก ๆ ข้าหมายถึงมาเปลี่ยนชุดเมื่อต้องการได้เสมอ เรือนนี้เป็นของเจ้า ตั้งแต่บ่าวหน้าประตูยันพ่อบ้านก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นหลานสาวของข้า” คนตัวโตหันไปพยักหน้าให้พ่อบ้านของจวน พ่อบ้านชราหันมองคุณหนูคนใหม่เพื่อจดจำ ทั้งยังสงสัยว่านางทำอย่างไรจึงได้ใจคนใจแข็งเช่นนายท่านของตน
“ท่านลุงไม่ต้องลำบากเพื่อข้า…อย่างไรหากท่านลุงอยู่ที่นี่ข้าย่อมแวะมาเยี่ยมเยือนอย่างแน่นอน”
“แค่ก ๆ นี่ก็ค่ำแล้ว จัดเตรียมสำรับเถอะ” ต้าเซ่าวางมาดเจ้าบ้านหันไปสั่งพ่อบ้านชรา เขารับคำแล้วเดินจากไป ส่วนคนตัวโตทำท่าละล้าละลังอยู่ไม่นานก็เอ่ยปาก
“นี่ก็ดึกแล้วเจ้าพักที่เรือนของเจ้าเสียก่อนในคืนนี้ ตอนเช้าค่อยออกไปตามหาลุงของเจ้าเป็นอย่างไร”
“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตา เช่นนั้นข้าต้องรบกวนท่านก่อนแล้ว” หนิงอันไม่ปฏิเสธ นางคิดที่จะมีชีวิตยืนยาว และมีเป้าหมายอีกอย่างคือการกตัญญูต่อท่านลุงต้าเซ่าแทนบุตรสาวของเขาเอง
หลังรับประทานอาหารเย็นหนิงอันก็แยกย้ายไปนอน เรือนพักนี้สงบอบอุ่นและปลอดภัยทำให้หญิงสาวหลับสบาย กว่าจะตื่นก็สายเสียแล้ว
ยามเช้าในเมืองของวังมารอากาศยังคงดีมากเพราะมีป่าทึบล้อมรอบทำให้มีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศดีอย่างที่หาในเมืองอื่น ๆไม่ได้ แม้จะมีเสียงจอแจเพราะมีคนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่หนิงอันไม่น้อย
ชีวิตที่สองนางอยู่ในเมืองนี้กระทั่งวันตาย ชีวิตนี้นางเองจะมีอายุยืนยาวและอยู่ในเมืองนี้อย่างมีความสุขได้เช่นเดิม หนิงอันเชื่อมั่นในตนเองมาก
“อรุณสวัสดิ์คุณหนูหนิง นายท่านให้มาเรียนว่าหากท่านจะออกไปข้างนอกก็สามารถใช้รถม้าได้”
“อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อบ้าน ข้าไม่รบกวน วันนี้ข้าคิดจะเดินเท้าเอาเจ้าค่ะ ฝากบอกท่านลุงด้วยนะเจ้าคะว่าข้าคงต้องขอตัวก่อน ไม่ได้อยู่รอลาท่านลุง เพราะวันหน้าข้าย่อมมาหาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนนี้บ้างแน่นอน” หนิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินเช่นนั้นผู้น้อยก็ยินดี”
พ่อบ้านชรามองส่งหญิงสาวจนลับสายตา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตุ่มดำแดงบริเวณผิวกายและใบหน้าของนายหายไปหมดแล้ว ตอนนี้หญิงสาวจึงดูงดงามขึ้นผิดหูผิดตา คงมีแค่บรรยากาศเย็นสบายรอบกายที่ยังเหมือนเดิม
หนิงอันไม่ได้คิดปิดบังรูปร่างหน้าตาอีกแล้วเมื่อท่านลุงต้าเซ่าเตือนว่ามันเปล่าประโยชน์ อย่างไรคนก็ดูออกว่านางพยายามปกปิด ยิ่งปิดก็ยิ่งน่าสงสัยและกลายเป็นที่จับจ้องมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเลือกที่จะเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้วหาวิธีอื่นดีกว่า อย่างเช่นผมที่เกล้าต่ำดั่งหญิงสาวออกเรือนแล้ว และเสื้อผ้าสีขาวราวกับไว้ทุกข์ แค่นี้นางก็กลายเป็นหญิงหม้ายทำให้ดูไม่โดดเด่นเหมือนสาวแรกแย้ม
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เปลี่ยนการแต่งกาย ผู้คนก็ให้ความสนใจน้อยลง
สิ่งแรกที่ทำคือการเข้าโรงรับจำนำเพื่อเอาสมบัติติดกายไปขาย ขณะที่เดินผ่านร้านค้าเพื่อไปยังจวนเจ้าเมือง สำหรับทำเรื่องย้ายถิ่นฐาน เสียงทักทายจากด้านข้างก็ดังขึ้น
“คุณหนูท่านนี้ คุณชายของข้าต้องการจิบชาสนทนากับท่านเพียงสักครู่จะได้หรือไม่” สาวใช้นางนั้นมีท่าทางอ้อนแอ้น สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่สมัครใจ มองหนิงอันอย่างไม่ชอบใจนัก
หนิงอันให้สงสัยเหลือเกิน นางไม่รู้จักใครในที่นี้ เหตุใดจึงมีคนมาเชิญไปจิบชาด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยจึงเอ่ยตอบกลับหลังจากวิเคราะห์ดีแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่าคุณชายของท่านคือผู้ใด ตอนนี้ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน” ว่าแล้วก็หันหลังเดินจากมาทันที จึงไม่เห็นว่าสาวใช้มีท่าทางอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตามอย่างรังเกียจและยินดี
“จวนเจ้าเมือง คงเป็นที่นี่ละมั้ง”
ทางด้านหนิงอันเพียงไม่นานก็มาถึงจวนเจ้าเมือง นางชะงักไปเมื่อจำได้ว่าต้องการเป็นประชากรของเมืองนี้ จำต้องมี ‘อาชีพ’ จะให้เลือกนางโลมอย่างในชีวิตที่สองคงไม่ได้
“แม่นางมาลงทะเบียนประชากรหรือ”
ทหารเฝ้ายามเอ่ยถาม เขาคุ้นเคยกับลักษณะของคนเช่นนี้ดี ถือห่อผ้าเล็ก ๆ สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดีนิดหน่อย ประดับปิ่นทองไว้บนหัวอย่างตั้งใจให้รู้ว่าพอมีเงิน เข้าตำราผู้มาลงทะเบียนประชากรใหม่โดยแท้ แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งตัวเรียบง่ายขึ้นเพราะอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ก็ไม่อาจปกปิดจากสายตาเขาได้
หนิงอันที่ตั้งใจแต่งกายมาเช่นนั้นจริง ๆ อดยกมือขึ้นลูบปิ่นทองบนหัวไม่ได้ นี่เป็นสมบัติชิ้นเดียวของท่านยายหนิง และหนิงอันก็ไม่ได้ขายเอาเงินแต่เก็บไว้เพื่อใส่มาลงทะเบียนประชากร นางไม่ได้ยึดติดกับสมบัติ ดังนั้นจึงคิดนำไปขายหลังจากนี้
“ข้ามาขึ้นทะเบียนประชากรจริง ๆ พี่ทหารข้าต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ขอพี่ทหารโปรดชี้แนะ” เมื่อมีหญิงสาวหน้าตาดีดูเหมือนจะมีปัญหามาขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าทหารยามย่อมใจอ่อนเป็นธรรมดา อดไม่ได้ต้องเอ่ยแนะนำหลายคำ
“เจ้าเพียงต้องเข้าไปลงทะเบียน ใต้เท้าผู้ดูแลจะถามเพียงสามคำถาม ภูมิลำเนาเดิม เหตุผลที่ย้ายมา และอาชีพ เจ้าเป็นหญิงสาวมีอาชีพอะไรเล่า เกษตรกรที่เมืองนี้เขาไม่รับหรอกนะ”
หนิงอันรู้ดี เกษตรกรในเมืองเขตวังมารคือประชากรดั้งเดิมเท่านั้นสามารถตรวจสอบได้ไปนับสิบรุ่น ล้วนอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ บ้างผันตัวไปทำการค้ากล่าวคือเป็นอาชีพสำหรับชาวเมืองดั้งเดิมเท่านั้น ดังนั้นชาวบ้านธรรมดาจึงไม่สามารถย้ายภูมิลำเนามาเมืองนี้ได้โดยง่ายแม้จะเป็นเขตเงียบสงบปลอดสงครามก็ตาม