บทที่ 7 อดีตสามี
“ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
“หนิงอันเจ้าค่ะ ท่านลุงเล่า”
“ต้าเซ่า ข้ามีนามว่าต้าเซ่า”
“ท่านลุงต้าเซ่า” หนิงอันคำนับให้ ร่างโงนเงนไปมาเพราะอยู่บนเกวียนเทียม เห็นหญิงสาวนั่งลำบาก ด้วยใจที่รู้สึกเอ็นดูนางราวกับลูกหลานเนื่องจากคุยถูกคอ ก็ทำให้ต้าเซ่ารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของหญิงสาวขึ้นมา
“นั่งสบายหรือไม่ เฮ้ย เจ้าไปเอาเบาะรองนั่งมาให้นางหน่อย” ต้าเซ่าไม่วายหันไปสั่งลูกน้อง ขบวนจึงต้องหยุดลงชั่วคราว
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง”
“ไม่ต้องเกรงใจไป ข้าจะแวะอยู่เมืองทางเหนือสักพัก หากเจ้าหาญาติไม่เจอ หรือมีสิ่งใดให้ช่วยก็ให้ตามหาข้าได้เลย”
“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาข้า”
“เจ้าเรียกข้าท่านลุง ตอนนี้ข้าก็นับว่าเจ้าเป็นหลานสาวคนหนึ่งแล้ว” ว่าแล้วชายร่างโตก็เริ่มคลำหาของมีค่าในตัว จับเจอถุงเงินก็หยิบออกมามอบให้นาง
“...” หนิงอันนิ่งอึ้ง ตามธรรมเนียมของแคว้น มีเพียงภรรยาหรือลูกสาวที่ยุ่งกับถุงเงินพ่อแม่ได้ ตอนนี้เขานับนางเป็นหลานสาวจริง ๆ แล้ว
“รับไปเสียสิ ในนี้มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ข้าเก็บเป็นตั๋วเงินฝากไว้ แต่ลุงของเจ้าร่ำรวยไม่น้อย หากมีอะไรก็มาพึ่งพาข้าได้”
“ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งพบกันแท้ ๆ”
“ข้ารู้สึกว่าต้องใจดีกับเจ้าให้มาก ต่อไปเจ้าต้องกตัญญูต่อข้าอย่างแน่นอน”
“ท่านทำดีหวังประโยชน์เช่นนี้ ไม่ได้บุญหรอกนะเจ้าคะ” หนิงอันเอ่ยหยอกล้อตอบกลับ เมื่อคนตัวโตดูเหมือนจะยังปากไม่ตรงกับใจซะที เขาก็แค่เห็นนางแล้วเอ็นดูพูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้จริง ๆ หรือนี่!
“ข้าเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู ผู้ใหญ่ย่อมรักชอบเป็นเรื่องธรรมดา น่าเสียดายที่ท่านลุงไม่มีบุตรชาย มิเช่นนั้นเราคงได้ดองกัน”
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้านี่จริง ๆ เลย พูดจาไม่สมกับเป็นหญิงสาวในห้องหอ”
“ก็ข้าเป็นสาวชาวนาธรรมดา ๆ นี่เจ้าคะ”
“เอาล่ะสาวชาวนาธรรมดา นั่งบนหมอนรองนั่งดี ๆ อย่าตกเกวียนจนบาดเจ็บไปซะก่อนล่ะ”
“เจ้าค่ะท่านลุง” หนิงอันเอ่ยเสียงยานคาง รู้สึกว่าอีกวันกว่า ๆ ที่ต้องเดินทางร่วมกัน นางย่อมมีความสุขไม่น้อยทีเดียว
อย่างน้อย ๆ เมื่อเห็นท่านลุงใส่ใจหยิบใบไผ่มาเป่าเป็นเพลง ก็ทำให้นางได้คะนึงถึงบิดา ราวกับเขาเป็นตัวแทนบิดา คงจะเป็นเช่นเดียวกันกับที่ต้าเซ่า คิดว่านางเป็นตัวแทนของบุตรสาวนั่นเอง
สองคนที่ขาดความรัก ดั่งได้เติมเต็มให้กันและกันชั่วขณะหนึ่ง หนิงอันรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่นำพานางมารู้จักกับท่านลุงต้าเซ่า
ทางด้านบัณฑิตหาน วันนี้เขายังแอบนำดอกไม้ป่าสีขาวมาวางไว้ริมหน้าต่าง เพื่อมอบให้บุตรสาวของคนขายหมูในหมู่บ้าน จากนั้นก็หลบออกไปอยู่หลังต้นไม้ไม่ไกลเพื่อมองดูให้แน่ใจว่าเป็นหญิงสาวที่หมายตามาหยิบดอกไม้ไป
ไม่นานร่างอวบอัดของหญิงสาววัยแรกแย้มก็ปรากฎขึ้นที่ริมหน้าต่างแม้หน้าตาจะน่ารักแต่เพราะหน้ามันเยิ้มเนื่องจากช่วยบิดามารดาทำงานหน้าเขียงหมูตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ ทำให้ไม่มีหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านมาเกี้ยวแม้อายุจะสิบแปดปีแล้ว ส่วนที่มาเกี้ยวก็หวังแต่ทรัพย์สินเงินทองเนื่องจากนางเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่จึงต้องเลือกสามีที่ดีงามและไม่หวังผลให้ หรือหากหวังผลก็ต้องเกื้อหนุนกันไป มิใช่ล้างผลาญ
บัณฑิตหานเป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน เป้าหมายแรกของเขาคือหนิงอันดูเป็นเด็กหัวอ่อนว่าง่าย มีสมบัติจากยายหนิงที่ร่ำรวยระดับต้น ๆ ของหมู่บ้าน ย่อมสามารถสนับสนุนเขาได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อนางปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาบัณฑิตหานก็ไม่กล้ายุ่งอีก
เพราะเป็นบัณฑิตซิ่วไฉคนเดียวในหมู่บ้าน จึงมีหญิงสาวหลายนางมาติดพันกระทั่งหลานสาวหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ถึงอย่างไรอนาคตก็สำคัญที่สุด ความทะเยอทะยานทำให้เขามองแต่หญิงสาวจากตระกูลที่ร่ำรวย อย่างเช่นจูเอ๋อร์ผู้นี้
เขาเทียวเกี้ยวนางอยู่นับเดือนสุดท้ายหญิงสาวก็ตอบตกลงแต่งงาน ชายหนุ่มไม่มีญาติพี่น้องพ่อแม่ ใช้ความสามารถของเด็กกำพร้าคนหนึ่งจนกลายเป็นบัณฑิตได้ ย่อมเจ้าเล่ห์ไม่น้อย รีบส่งแม่สื่อไปทันทีเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ
แน่นอนว่าจูเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยหลังจากได้รับจดหมายปิดผนึกแปลกประหลาด นางเป็นคุณหนูคหบดีย่อมต้องเรียนเขียนอ่านและคำนวนตั้งแต่เด็กจึงอ่านจดหมายได้อย่างถี่ถ้วน ผู้มีลายมืองดงามที่ต้องการเตือนนางเช่นนี้ ย่อมไม่อาจละเลยได้ ลายมือนี้งามยิ่งกว่าของบัณฑิตหานเสียอีก
แม้จะลังเลแต่การแต่งงานต้องเกิดขึ้นและไม่สามารถถอนตัวได้ เมื่อบัณฑิตหานกลับเป็นคนช่วยนางขณะที่กำลังจะจมน้ำ เนื่องจากเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นข้อครหา แต่ก็เป็นสิ่งที่รัดตัวทำให้จูเอ๋อร์ไม่สามารถบอกยุติการแต่งงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น
‘ผู้มีพระคุณ หากทุกอย่างที่ท่านบอกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นข้าจะตั้งป้ายบูชาท่านเป็นปรมาจารย์ของตระกูลจูเรา’ จูเอ๋อร์อธิษฐานในใจ เนื่องจากคิดว่าผู้ส่งจดหมายปิดผนึกที่ล่วงรู้อนาคตได้ อาจเป็นเทพเซียนองค์ใดเนื่องจากความงดงามของอักษร นางก็ยิ่งปักใจเชื่อในคำเตือนมากขึ้นไปอีก แต่งานแต่งก็จัดแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องระวังและพยายามกอบโกยให้ตระกูลจู ให้คุ้มค่ากับที่ลงทุนไป
จูเอ๋อร์ไม่ใช่คนโง่งมในเรื่องความรัก แม้จะหลงบัณฑิตหานมากเพียงใด แต่ตรงนั้นของเขาก็ไม่ได้เลี่ยมทองคำ นางรักเงินมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นนอกจากสนุบสนุนสามีให้เป็นขุนนางจนสำเร็จ ยังกอบโกยเงินจำนวนมหาศาลเข้าตระกูลจูของตนอีกด้วย
“นายหญิง…” และแล้ววันที่ถูกเตือนก็มาถึง สาวใช้ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้า คือสาวใช้ที่จูเอ๋อร์ซื้อตัวไว้ ความจริงด้วยอำนาจเงินทำให้นางซื้อตัวข้ารับใช้ทุกคนในจวนเอาไว้แล้วโดยที่สามีไม่รู้ตัว ขอเพียงมีคำสั่งเกี่ยวกับการวางยาพิษ ก็สามารถจับเขาได้เลย
จูเอ๋อร์มองขวดยาพิษด้วยความเจ็บช้ำในใจ โชคดีที่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน มิเช่นนั้นนางคงเสียใจยิ่งกว่านี้ สามีที่ไว้ใจกลับทำร้ายกันได้ลงคอ เมื่อหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งงั้นหรือ ดูเหมือนจะเป็นนางที่ได้พูดคำนี้มากกว่า
“หานเซียง เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้งั้นหรือ” ร่างอวบเดินเข้ามาในโรงน้ำชา ตอนนี้มีบัณฑิตจำนวนหนึ่งมาประชุมพบปะกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
บัณฑิตหานเห็นภรรยายังมีชีวิตก็ตกใจ คราวนี้จูเอ๋อร์มีเงินมากเขาจึงต้องวางแผนให้รอบคอบกว่าเดิม คิดว่าจะทำให้นางดูเหมือนโดนศัตรูของตนลอบวางยาพิษจนตาย ขณะที่ตนมีหลักฐานที่อยู่คือการประชุมครั้งนี้ แต่เหตุใดยาพิษจึงอยู่ในมือนางได้เล่า
“เจ้าคิดวางยาพิษข้าจนตาย แล้วยกย่องคุณหนูบุตรสาวใต้เท้าโจว ขุนนางขั้นสามขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน เจ้ามันคนไร้คุณธรรม!”
ทุกคนล้วนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างบอกให้หญิงสาวค่อยพูดค่อยจา บ้างรอดูความสนุก แต่ตอนนี้เรื่องที่หานเซียงก่อเหตุไม่อาจปกปิดไว้ได้
“ผู้ตรวจการ จับมันไปเข้าคุก! ฆาตรกร ซ้ำยังวางแผนฆ่าภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก คนเช่นนี้ไม่ต่างจากงูเห่า” เพียงแค่นางพูด ผู้ตรวจการที่ดูเหมือนมีหลักฐานครบมือก็เข้ามาจับหานเซียง
“ท่านหาน นี่เรื่องจริงหรือ”
“ใต้เท้าเหลียง ขออภัยที่ต้องบุกมากลางงานเลี้ยงของท่าน แต่ทางเรามีหลักฐานและพยานว่าใต้เท้าหานกระทำการวางแผนฆ่าภรรยาเอกจริง ๆ ขอรับ” คำพูดนั้นทำให้หานเซียงเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครอีกต่อไป ไม่กี่วันหลังจากนั้นข่าวของบัณฑิตหานก็กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง
สาวใช้ชี้ตัวว่าบัณฑิตหานผู้เป็นสามีสั่งคนวางยาคิดฆ่าภรรยาเอก ทั้งคู่หย่าร้างกันแต่ชีวิตของชายหนุ่มจบลงแล้วเพราะชื่อเสียงที่ตั้งใจฆ่าภรรยาทำให้เขาหมดหนทางในชีวิต ถูกปลดไม่พอยังถูกผู้คนชังน้ำหน้า ไม่มีที่ให้กลับไป หลังจากนั้นหานเซียงก็เริ่มสติแตก ราวกับเขาเพิ่งระลึกชาติได้เลยพยายามที่จะกลับไปตามหาหนิงอันที่หมู่บ้านเพื่อยืนยัน แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะหนิงอันหนีหายจากไปนานแล้ว และไม่เคยได้กลับมาที่หมู่บ้านอีกเลย
ขณะที่หานเซียงมีชีวิตไม่ต่างจากหมูหมา บ้านตระกูลจูยังสั่งให้ซ้อมเขาปางตายขาหักแขนหักต้องพิการขอทานข้างถนน เข้าฤดูหนาวก็ตายจากไปในที่สุด