บทที่ 6 กองคาราวาน
“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ฝากบอกต้าหยางด้วยว่าข้าวางค่าจ้างเอาไว้ให้เขาแล้ว”
“เอ้อ! เดินทางดี ๆ รีบ ๆ ไปเร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทันคาราวาน เจ้าเด็กคนนี้นี่ยังไง ระวังด้วยอย่าวิ่งสิเดี๋ยวล้มนะ เอ๊ะ เสี่ยวหนิงซนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ตาเฒ่าหวังโบกมือไล่หญิงสาวที่เอาแต่สั่งลา ไม่ยอมเข้าร่วมคาราวานเสียที
กลุ่มพ่อค้าด้านหลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากหมู่บ้านมากขึ้นทุกทีทำให้ชายชราเริ่มเป็นกังวล เกรงว่าหญิงสาวจะตามไม่ทัน
“ท่านตา ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ รักษาสุขภาพตัวเองด้วย หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกครั้งแน่นอน”
“เอ้อ ๆ กระโดดเบา ๆ โอ๊ย หัวใจข้าจะขาดแทนวิญญาณบิดามารดาเจ้าแล้วเสี่ยวหนิงเอ้ย!” เห็นหญิงสาวกระโดดเหยง ๆ ขึ้นเกวียนที่กำลังวิ่งเหยาะก็ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่มีหลานสาว หลานชายก็กำลังเล็ก
แต่พอนึกถึงหลานชายตัวน้อยที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ รับปากทำงานให้เด็กหญิงตาเฒ่าก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่รู้เด็กน้อยทั้งสองมีความลับอะไรกัน ไม่รู้เสี่ยวหนิงจ้างวานอะไรเจ้าเด็กหวังอี้หยาง
หนิงอันถอนหายใจโล่งอกเมื่อขึ้นเกวียนได้ทัน นางหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมทางที่ไม่คิดจะรอแถมยังเร่งเดินทางจนนางไม่ทันได้ร่ำลาใครเลย ดีเท่าไหร่ที่มีเฒ่าหวังมาส่ง อย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดีคอยพึ่งพาอาศัยกันมาโดยตลอด เพียงแค่เฒ่าหวังมาส่งคนเดียวหนิงอันก็รู้สึกดีแล้ว
“นี่สาวน้อย เจ้าจะไปที่ใดหรือ วิ่งกระหืดกระหอบถึงเพียงนี้ ราวกับหนีอะไรมา” ในสายตาของเฒ่าหวังอาจดูเหมือนหนิงอันเป็นเด็กหญิงแสนซน แต่สำหรับผู้ที่เดินทางพบเจอเรื่องราวมามากอย่างต้าเซ่าไม่คิดเช่นนั้น
หนิงอันมองชายตัวโตที่นั่งอยู่บนเกวียนเดียวกัน คน ๆ นี้คือผู้คุ้มกันของขบวนคาราวาน คิดว่าเขาน่าจะเป็นหัวหน้า
“ท่านลุงคิดว่าข้าหนีอะไรหรือเจ้าคะ ท่านเห็นหรือไม่” กล่าวถามทั้งรอยยิ้มแล้วผายมือลงไปด้านหลัง ไม่มีสิ่งใดตามนางมาจริง ๆ ไม่มีความวุ่นวายอย่างที่ต้าเซ่าคิด แต่หญิงสาวผู้นี้ราวกับกำลังหนีบางสิ่ง
“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าหนีอะไร เจ้ารู้อยู่แก่ใจดี!” ว่าแล้วก็ส่งเสียง เฮอะ ในลำคอ หันไปอีกด้าน ต้าเซ่ายังเชื่อสัญชาตญาณของตนเอง หญิงสาวนางนี้หนีบางสิ่งมาอย่างแน่นอน ดูสีแดงดำคล้ำที่ป้ายไปบนตัวนั่นสิ อย่างไรก็ดูไม่ปกติ
หนิงอันที่ไม่รู้ว่าการปลอมตัวของตนเองถูกมองออกหันไปยิ้มให้นกให้ไม้อย่างสบายใจ จะไม่ให้สบายใจได้อย่างไร รถเกวียนวิ่งมาเกือบถึงเมืองแล้วแต่ยังไม่มีแม้แต่วิญญาณโจรออกมาให้ตกใจ
‘นี่สิจึงเรียกว่าการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในฐานะผู้มีโอกาสกลับมาในอดีตถึงสองครั้ง’ คิดแล้วก็เสียดายชีวิตในครั้งที่สองไม่น้อย แม้ข้อดีจะมีมาก แต่หากนางคิดวิเคราะห์ให้ดีกว่านั้น อาจทำให้มีชีวิตยืนยาวและทำประโยชน์ได้มากกว่าเดิมก็เป็นได้
แต่คิดเสียใจเรื่องในอดีตไปก็เปล่าประโยชน์ คิดทำวันนี้ให้ดีที่สุดจะดีกว่า
“ถึงเมืองแล้ว เจ้าจะไปที่ใดต่อสาวน้อย”
“ท่านลุงเป็นห่วงข้าหรือเจ้าคะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกันแล้ว หรือว่า…” หนิงอันเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโต ต้องบอกว่าเมื่ออยู่ในหอนางโลมนางก็ได้รับวิธีการสังเกตสีหน้าของผู้คนเพิ่มขึ้นมา ทำให้มองเห็นได้ว่าสีหน้าของชายตัวโตมีความประหม่าไม่น้อย
“...” ต้าเซ่าตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าจะสนใจความเป็นไปของเด็กสาวมากขนาดนี้เช่นกัน เพราะปกติก็ใส่ใจแต่การทำงานของตนเอง
“ท่านลุงคิดว่าข้าเป็นตัวแทนของผู้ใดหรือเปล่าเจ้าคะ”
ต้าเซ่าเบิกตาเล็กน้อย ก่อนหรี่ตามองหญิงสาว
“เจ้าจะไปรู้อะไร รีบ ๆ ไปให้พ้น ก่อนที่ข้าจะคิดเงิน”
“น่า ท่านลุงจะรีบไล่ข้าไปไย หากข้าไม่มีที่ไปเล่า”
“เกี่ยวอะไรกับข้า” คนตัวโตทำเป็นปากแข็ง แต่หนิงอันพบว่าเขาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี จึงนั่งบนเกวียนต่ออย่างดื้อดึง เริ่มเอ่ยปากถาม
“พวกท่านลุงจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ ไม่แวะเมืองนี้ก่อนหรอกหรือ”
“ไม่!”
เพราะอย่างนี้เกวียนเลยไม่หยุดลง ล้อยังคงหมุนต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านกลางเมืองก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางเท่านั้น มีแวะเพียงไม่กี่ร้านก่อนจะออกเดินทางต่อ บ่งบอกว่าไม่มีความคิดจะพักในเมืองจริง ๆ
“พวกท่านจะไปเมืองท่าทางเหนือหรือไม่ ข้าสามารถติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้ ลงจากเกวียนของข้าได้แล้ว” ต้าเซ่ายังคงมีท่าทางเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน นึกสงสัยว่าเหตุใดแม่หนูผู้นี้ดูไม่เกรงกลัวเขาที่ได้ชื่อว่าทำให้เด็กร้องไห้เพียงแค่เห็น
“นะเจ้าคะท่านลุง ข้าเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะพบอันตรายใดบ้าง ให้ข้าเดินทางไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ” เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเหนือเท่านั้น ไม่มีทางที่จะผ่านไปเมืองอื่น เว้นแต่เลยไป แต่อย่างไรเมืองที่หนิงอันวางแผนว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ก็ถึงก่อนจะไปเมืองอื่นอยู่แล้ว
เมืองเดียวที่ไม่ได้รับผลของสงคราม เมืองภายใต้การปกครองของวังมาร หรือก็คือเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่ในชาติที่สองนั่นเอง
“ไร้สาระ เจ้าขอติดกองคาราวานเพื่อเข้าเมือง นี่ถึงเมืองแล้วก็รีบลงไป”
“ท่านลุงเจ้าคะ จริง ๆ ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ได้หนีสิ่งใดมา แต่เพราะบิดามารดารวมถึงท่านยายล้วนเสียชีวิตด้วยไข้ป่า ก่อนตายท่านแม่สั่งเสียว่าข้ามีท่านลุงอยู่ในเมืองทางเหนือ จึงคิดจะออกตามหาท่านลุงด้วยตนเอง ข้าไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วยหากท่านไปทางเดียวกันเถอะเจ้าค่ะ”
“เมืองทางเหนือที่เจ้าว่า คือเมืองของวังมาร?” ในสามแคว้นนี้ มีเพียงเมืองเหนือของวังมารที่อยู่นอกเขตพื้นที่สงคราม เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด อยู่นอกกฎหมายแต่กลับสงบไร้ผู้ก่ออาชญากรรม แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงมาก
“ใช่เจ้าค่ะ”
“อย่าไปเลย เกรงว่าเจ้าจะถูกจับไปเป็นนางโลมเสียก่อน”
เมืองทางเหนือปลอดภัยก็จริง แต่ไม่ใช่สำหรับหญิงสาวตัวคนเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งใจปกปิดรูปโฉมตนเองย่อมหน้าตาดีไม่น้อย
เมืองทางเหนือขึ้นชื่อเรื่องถนนนางโลม ที่นั่นมีหอนางโลมตั้งอยู่มากมายคอยต้อนรับแขกให้มาพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดในสามแคว้นล้วนต้องเคยไปพักผ่อนหย่อนใจในเมืองวังมารมาก่อนแล้วทั้งนั้น เพราะมีเพียงที่แห่งนั้นซึ่งไม่มีสงครามกล้ำกลายให้ต้องคิดหนัก
“แต่ข้าไม่เหลือใครแล้วเจ้าค่ะ หากไม่ไปตามหาท่านลุง ย่อมต้องเสียใจตลอดชีวิตอย่างแน่นอน” หนิงอันโป้ปดอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“เฮ้อ เอาเถอะ งั้นก็ไปด้วยกัน” เกวียนวิ่งทะลุออกทางประตูเมืองอีกฝั่งแล้ว ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ลงที่เมืองนี้จริง ๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง ขอบคุณท่านเจ้าของคาราวานด้วยเจ้าค่ะ” หนิงอันหันไปคำนับให้ทางด้านหน้าด้วย ก่อนจะเห็นสีหน้าเหนื่อยใจของต้าเซ่า นางยิ้มแผล่ให้เขาเหมือนว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“ท่านลุงมองข้าเช่นนี้ อย่าได้คิดไม่ดีไม่ร้ายกับข้าเชียวนะเจ้าคะ ข้าสู้สุดใจขาดดิ้นจริง ๆ ด้วย”
“เจ้าเด็กโง่ อายุของเจ้าเป็นลูกข้าได้ทีเดียว…” เอ่ยถึงตรงนี้ต้าเซ่าก็ราวกับจมดิ่งลงสู่ความทรงจำอันเลวร้าย กระทั่งรู้สึกเหมือนมีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นด้านข้าง หันไปมองก็เห็นหญิงสาวกำลังพยายามเป่าใบไผ่ให้มีเสียง แต่มันมีเพียงเสียงหวีดหวิวน่ารำคาญส่งออกมา
“เจ้าเด็กโง่ทำอะไร”
“ท่านพ่อเคยสอนข้าทำเช่นนี้ หากท่านพ่อยังอยู่ เราผ่านป่าไผ่เช่นนี้คงหยิบเอาใบไผ่มาเป่าเล่นให้ข้าฟังเช่นกัน” หนิงอันยิ้มเศร้า ทำให้ต้าเซ่ามองนางด้วยความเห็นใจ
“หากบุตรสาวข้ายังอยู่คงมีอายุเท่ากับเจ้า”
“ท่านลุง เช่นนั้นข้าจะเป็นบุตรสาวให้ท่านดีหรือไม่”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากมีลูกลิงเพิ่ม”
“ท่านลุง~” หนิงอันเย้าแหย่กับต้าเซ่าเล่น อย่างไรก็ต้องเดินทางด้วยกันไปอีกเป็นวัน กว่าจะถึงเมืองทางเหนือ
“เด็กน้อย ถ้าเป็นลูกสะใภ้ก็ว่าไปอย่าง อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว ยังอยากเป็นลูกคนอีกหรือ ไม่ใช่ต้องอยากมีครอบครัวแล้วอยากเป็นแม่คนแล้วหรือ?” คนตัวโตเอ่ยเย้า
“เช่นนั้นท่านลุงมีบุตรชายหรือไม่เจ้าคะ หากมีข้าก็ยินดีที่จะเป็นลูกสะใภ้ของท่าน พ่อสามีใจดีเยี่ยงนี้เหตุใดจึงไม่ชอบเล่า” หนิงอันยิ้มหวาน ทำให้ต้าเซ่าน้ำตาคลอ นางช่างคล้ายกับภรรยาของเขาเหลือเกิน
“เช่นนั้นหากข้ามีบุตรชาย จะให้เจ้าเป็นลูกสะใภ้แล้วกัน”
“โถ่ พูดเช่นนี้แสดงว่า ตอนนี้ท่านยังไม่มีบุตรชายด้วยซ้ำ กว่าเด็กจะเกิด กว่าจะโต ข้าไม่กลายเป็นยายแก่หนังเหี่ยวไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ”
หนิงอันหัวเราะกลั้วไปกับคนตัวโต รู้สึกคุยกับเขาแล้วสบายใจ ราวกับได้สหายต่างวัยมาหนึ่งคน