บทที่ 4 เป้าหมายสูงสุด
“เหลือโอกาสอีกเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น ข้าจะต้องไม่ตายเร็วเหมือนสองชีวิตที่ผ่านมาเด็ดขาด!” การมีอายุยืนยาวถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตนี้
หญิงสาวรูปร่างอรชรสวมชุดชาวบ้านราวกับผ้าขี้ริ้วเมื่อเทียบกับชุดของนางโลมหรือภรรยาขุนนางในสองชีวิตแรก แต่ทั้งชุดกลับสะอาดสะอ้านบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนรักสะอาด คงมีแต่หน้าตาที่เปรอะเปื้อนฝุ่นและคราบน้ำตา รวมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงทำให้นางดูไม่ได้นัก
“แม่นาง เจ้าอยู่บ้านหรือไม่” เสียงเรียกจากหน้ากระท่อมทรุดโทรมของครอบครัวหนิง ทำให้หนิงอันพลันได้สติ
‘ที่ควรมาก็มาแล้วสินะ’ สิ่งนี้ยังคงเกิดขึ้นไม่ว่าในชีวิตไหน เดินออกไปหน้ากระท่อม เห็นชายร่างสูงโปร่งใบหน้าท่าทางสุภาพอย่างปัญญาชน แม้เสื้อผ้าจะเก่ามีรอยปะชุนแต่ก็สะอาดเรียบร้อย คนผู้นี้คือสามีเก่าในชีวิตแรก ‘บัณฑิตหาน’
“ท่านหานมาหาข้า มีธุระอันใดหรือ” หนิงอันเอียงคอสงสัย มือปาดน้ำตาออกจากหน้าโดยไม่มีท่าทางเหนียมอาย แต่นั่นทำให้ใบหน้าของนางยิ่งเลอะเปรอะเปื้อนมองไม่เห็นเค้าคนงาม
ชายหนุ่มแอบเบะปากหน้าแหยเมื่อเห็นท่าทางสกปรกของหญิงสาว แม้นางจะมีเหตุผลเนื่องจากเพิ่งสูญเสียคนสนิทสุดท้ายไป แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าช่างสกปรกเกินจะทน
“แม่นาง ข้าได้ยินข่าวการเสียชีวิตของท่านยายหนิง จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงแม่นางหนิงที่เหลืออยู่ตัวคนเดียว”
“พี่ชายท่านนี้ ข้าเหลือตัวคนเดียว หากท่านมาให้ความสนิทสนมเช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะยึดติดกับท่านหรือเจ้าคะ” หนิงอันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ทำให้ชายหนุ่มไม่ทันจับสังเกตว่านางพูดคมคายผิดแผกจากหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป
“ยึดติดแล้วอย่างไร หากสามารถช่วยให้เจ้าคลายทุกข์ หายเศร้าได้ บัณฑิตผู้นี้ก็ยินดี”
หนิงอันรู้สึกว่าเขาช่างโอ้อวดเหลือเกิน คิดว่าการเข้ามาในชีวิตของคน ๆ หนึ่งแล้วจะทำให้คนผู้นั้นหายเศร้าได้เช่นนั้นหรือ นางในชีวิตแรกลืมสมองไว้ในท้องแม่หรืออย่างไร ไม่รู้เหตุใดจู่ ๆ ก็มีคำนี้ผุดขึ้นมาในหัว
“พี่ชายท่านนี้…ขออภัยข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แต่ท่านมาทำท่าทางเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก ข้าได้ยินว่ามีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งอาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้าน ทั้งยังสอบได้ซิ่วไฉเป็นผู้มีความรู้และพรสวรรค์สูงส่ง”
“...”ได้ยินคำพูดยกยอจากสาวน้อย ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยืดอก ก่อนจะแทบกระอักเลือดเมื่อได้ยินคำกล่าวต่อมาขอนาง
“แต่ขออภัยด้วยพี่ชาย ข้านั้นเป็นสาวชาวนาไร้ความรู้ไม่มีความสามารถ รู้เพียงแค่ว่าการเรียนต้องใช้เงินเยอะ ข้าคงไม่เหมาะจะสนิทสนมและทำให้ท่านบัณฑิตแปดเปื้อน”
“แต่แม่นาง ข้าไม่คิดมาก ข้าหวังเพียงช่วยเจ้าคลายเศร้าเท่านั้น”
“พี่ชายท่านนี้ ในเมื่อเอ่ยอ้อม ๆ แล้วท่านไม่เข้าใจ สาวชาวนาผู้นี้ขอพูดกับท่านตรง ๆ เลยแล้วกัน”
“...” ขณะที่หนิงอันและชายหนุ่มกำลังสนทนากัน มีหลาย ๆ คนที่มาเยี่ยมหนิงอันเพื่อแสดงความเสียใจและค่อย ๆ รวมตัวกันเมื่อเห็นบัณฑิตหานกำลังสนทนากับนาง ตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะซุบซิบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นอย่างนั้นบัณฑิตหานก็กลับมามีท่าทางสงบนิ่งดั่งเทพเซียนลงมาเยือนยังพื้นโลก มองและยิ้มน้อย ๆ ให้หนิงอันอย่างอ่อนโยน เฝ้ารอให้นางกล่าวประโยคถัดมา
“พี่ชาย ข้าไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับบัณฑิต ข้าเป็นสาวชาวนาถูกเลี้ยงดูมาอย่างชาวนา หากเลือกได้ข้าก็อยากได้สามีชาวนา มากกว่าสามีที่เป็นบัณฑิต หรือแม้จะเป็นเพียงสหาย หรือพี่ชายน้องชาย ข้าก็อยากได้คนในชนชั้นเดียวกัน มากกว่าบัณฑิตที่สูงส่งเช่นท่าน”
“...” คราแรกทุกคนจะกล่าวว่านางคิดมากเกินไป บัณฑิตหานย่อมไม่คิดรับนางเป็นภรรยา แต่คำพูดถัดมาของหนิงอันทำให้ไม่มีใครคิดค้านขึ้นมาอีก ในยุคสมัยนี้แม้ชายหญิงไม่ใกล้ชิด แต่ก็มีสหายและพี่น้องที่คบหากันได้ตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง
“...” บัณฑิตหานอ้าปากเหวอ ก่อนกลายเป็นหน้าเสีย รีบหันหลังเดินจากไปโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาโต้แย้ง อย่างไรเขาเป็นบัณฑิต โต้เถียงกับหญิงสาวมีแต่จะเสียกับเสีย
“ขอบคุณท่านลุง ท่านป้า ที่มาเยี่ยมเยียนเสี่ยวหนิง บิดามารดาข้าตายจากไปแล้ว ยามนี้ท่านยายหนิงยังตายตามไปอีก ข้าเองก็หมดกำลังใจไม่น้อย แต่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแน่นอน ขอให้พวกท่านอย่าเป็นกังวล”
“ดีแล้วที่เสี่ยวหนิงคิดได้ เช่นนั้นพวกเราไม่กวน เจ้าก็พักผ่อนให้มาก ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านตามมาทีหลัง แต่ทันได้ยินคำปฏิเสธของหญิงสาว ไม่วายรีบกลับไป เขานึกสบประมาทว่าหญิงสาวสกุลหนิงเป็นบ้าไปแล้ว หรือ ท่านบัณฑิตมาให้ความสนิทสนมทั้งทีกลับผลักไส เช่นนี้ตนต้องรีบกลับไปบอกยายแก่ที่บ้าน เผื่อนางมีความคิดเห็นอย่างไร หากมีหลานสาวลูกสาวในสกุลที่ยังไม่มีคู่ ก็อาจมีวาสนาได้ครองคู่กับท่านบัณฑิต แน่นอนว่ามีชาวบ้านอีกหลายคนคิดเช่นกันและรีบกระจายตัวกลับบ้านเพื่อไปแจ้งข่าวนี้
หนิงอันไม่รู้ความคิดชาวบ้าน นางจำได้ว่าในชีวิตที่สองของนาง สามีเก่าก็ไม่ได้มีชีวิตดีนักหลังจากไม่สามารถตีสนิทนางได้ นานทีเดียวกว่าจะเกี้ยวพาเป้าหมายใหม่สำเร็จ แต่ไม่รู้หลังจากนั้นเป็นอย่างไร หญิงสาวนางนั้นถูกหลอกอีกหรือไม่
พอคิดว่าต้องมีผู้หญิงอีกคนที่ต้องตายเพราะคนโฉดใจทรามผู้นั้น หนิงอันก็รู้สึกทนไม่ได้ สุดท้ายจึงเขียนจดหมายเตือนเอาไว้ คิดจะส่งให้กับว่าที่ภรรยาของบัณฑิตหานในอนาคต อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องราวซ้ำรอยกับตนเอง
หญิงสาวกลับมานั่งอยู่บนโต๊ะกลางบ้าน กระท่อมเล็ก ๆ นี้มีความทรงจำที่ดีมากมายเกี่ยวกับครอบครัว นางนั่งมองด้วยความอาลัย สุดท้ายจึงมีแรงฮึดให้ดำเนินชีวิตต่อไป
“ข้าจะมีชีวิตที่ยืนยาว ตอบแทนบุญคุณพวกท่านทุกคน” หนิงอันล้างหน้าล้างตาออกจากบ้าน นางสวมงอบทำให้สามารถมองเห็นแค่ปลายคาง เดินเข้าไปในหมู่บ้านกระทั่งมาถึงบริเวณป้ายรถเกวียน
“ท่านตา”
“เสี่ยวหนิงจะเข้าเมืองหรือ ปกติไม่เห็นสกุลหนิงใช้เกวียน เหตุใดคราวนี้ถึงไม่เดินไป” จากหมู่บ้านเข้าเมืองเดินเพียงสองเค่อก็ถึงแล้ว แต่หนิงอันไม่ต้องการเดินอีกแล้ว นางกลัวว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยกับชีวิตที่สอง
แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว แม้จะนั่งรถเกวียนเข้าเมืองหากเจอโจรดักปล้น ในขบวนมีแต่ชาวบ้านชาวนา ไร้อาวุธ มีหรือจะสู้พวกโจรไหว ทำอย่างไรจึงจะเข้าเมืองอย่างปลอดภัยเล่า?