บทที่ 3 โอกาสสุดท้าย
คราวนี้เมื่อได้ยินคำถาม หนิงอันพลันชะงัก มองเขาอย่างมึนงงไม่ต่างกัน
“จะว่าอย่างไรดี ห้าปีที่ผ่านมานี้ ข้าใช้อย่างคุ้มค่ามาก เรียนรู้ทุกสิ่งที่เรียนได้ เพราะคิดว่าน่าจะต้องใช้เมื่อมีชีวิตสุดท้าย เพื่อตนเองจะได้สุขสบาย แต่…”
“แต่…”
“ห้าปีนั้นสั้นเกินไปจริง ๆ มีหลายเรื่องที่ข้าเสียดายในชีวิตนี้”
“ข้าก็ยังไม่เข้าใจ ตกลงว่าเจ้าตายได้อย่างไร”
“เหตุสุดวิสัยเจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุสุดวิสัยที่ว่าคืออะไรกันเล่า”
“ท่านกำลังก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของข้าอยู่หรือเปล่า” จู่ ๆ หญิงสาวก็เอ่ยถามขึ้น ทำให้ยมทูตหนุ่มชะงักไป เขาอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปจนก้าวก่ายจริง ๆ ดังว่า
“ขออภัยด้วย ข้าแค่ผิดคาด…” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำมืด “เพราะคาดไว้ว่าเจ้าน่าจะมีชีวิตอยู่อีกหลายสิบปี”
“ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราคาดหวังหรอกเจ้าค่ะ ชีวิตมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็หวังว่าตนเองจะมีชีวิตที่ยืนยาวเช่นกัน ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าอยู่ในหอนางโลมได้อย่างมีความสุขเช่นนั้น ก็เพราะอาศัยบารมีของท่านจอมมาร”
“...”
“หอนางโลมที่อยู่ภายใต้เมืองแห่งนี้ ภายใต้วังมาร ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมีปัญหาด้วย ข้าได้ยินพี่น้องนางโลมหลายนาง มาจากเมืองอื่น ๆ ล้วนกล่าวว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เมืองภายใต้วังมารแห่งนี้สงบสุขที่สุดในยุคสงครามเช่นนี้ หาไม่แล้ว ชะตากรรมของข้าหากไม่ตกอยู่ในกำมือโจรป่า ก็คงเป็นกลุ่มทหารกลัดมัน”
“...”
“แต่อย่างไร อยู่ใกล้พยัคฆ์ ใกล้มังกร ก็ไม่อาจเดาได้ว่าวันใดหัวจะหลุดจากบ่า ยิ่งข้าได้ชื่อว่าเป็นนางโลมอันดับหนึ่งด้วยแล้ว…”
“เจ้าจะบอกว่า ครานี้ต้องตายเพราะจอมมารแห่งวังมาร?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ แต่คิดว่าคงเป็นเช่นนั้น เพราะข้าคือนางโลมอันดับหนึ่ง เรียกแขกทำเงินได้จำนวนมากในทุกๆ คืน เมื่อข้ากล่าวว่าจะไถ่ตัวเพื่อไปใช้ชีวิตธรรมดา กลับโดนวางยาพิษจนตัวตายเสียอย่างนั้น”
“และนี่คือเหตุผลที่เจ้ากลับมาในเวลาเพียงห้าปี”
“ไม่ผิด” หนิงอันตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง ราวกับนางไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย
“...” ยมทูตหนุ่มแอบถอนหายใจ เขาเองก็ไม่สามารถรู้ชะตาชีวิตของหญิงสาวได้ ก็ได้แต่ตักเตือนนาง
“เจ้าเหลือเพียงชีวิตสุดท้ายแล้ว จงใช้ให้ดี จงมีชีวิตยืนยาวและมีความสุข ให้สมกับโอกาสที่ได้รับเถอะ”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ คราวนี้ข้าจะใช้ชีวิตให้ดี และมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างแน่นอน!” หนิงอันรับปากอย่างหนักแน่น
ยมทูตหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เบาใจ
“นั่งพักสักครู่ ข้าจะเตรียมเอกสาร”
“จริงๆ แล้ว ข้าชอบช่วงเวลาที่ได้หยุดนิ่งอยู่ตรงนี้มากที่สุด” จู่ ๆหนิงอันก็เอ่ยปาก ทำให้มือที่กำลังจับเอกสารของยมทูตหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย
“เพราะเจ้าขี้เกียจ”
“ท่านยมทูตรู้ทันข้าจริง ๆ เพราะนี่เป็นเวลาเดียวที่ข้าสามารถขี้เกียจได้”
“เช่นนั้นชีวิตหน้า เจ้าก็ขี้เกียจหน่อยก็ได้”
“ถ้าทำได้ก็ดีสิเจ้าคะ ข้าอยากจะนั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ต้องทำอะไรแต่ก็มีคนคอยดูแล แบบนี้จึงจะสามารถขี้เกียจได้ใช่หรือไม่ล่ะเจ้าคะ”
“นั่นแปลว่าเจ้าเป็นหมู เขาขุนเจ้าไว้กินแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านยมทูตทำงานเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่กวนท่านแล้ว”
ยมทูตหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ หันไปทำงาน เขาอ่านเอกสารไปก็พยักหน้าไป ชีวิตของนางในชาติที่สองนี้เก็บเกี่ยวมาได้มากจริง ๆ แต่เมื่ออ่านจนกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้ายชายหนุ่มก็อ้าปากเหวอ
“นายท่านมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร” ยมทูตหนุ่มหุบปากฉับ กลับมาสงบราวไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาวางเอกสารลงแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของวิญญาณสาวตรงหน้า
“หนิงอัน”
“เจ้าคะ”
“ชีวิตที่สองเจ้าเรียนรู้มาเยอะจริง ๆ”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าอ่านออกเขียนได้ ศาสตร์ศิลป์ทุกประเภทล้วนทำเป็น หมากรุกก็แกล้งแพ้เก่งมาก ยังไม่นับรวมชาที่ข้าชงนั้นหอมกลุ่นใคร ๆก็ต้องติดใจ ท่านยมทูตลองชิมดูสักหน่อยสิเจ้าคะ”
ไม่รู้วิญญาณสาวแอบชงชาไว้ตั้งแต่เมื่อใด แต่กลิ่นหอมกรุ่นทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ยกขึ้นจรดจิบเบา ๆ ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนกลับมาไร้อารมณ์เช่นเดิม มองหญิงสาวอย่างชื่นชม
“ชาดี!”
“ข้าคิดว่าคราวนี้ น่าจะเปิดโรงน้ำชาริมทางเล็ก ๆ พอให้เลี้ยงตนเองได้ เปิดโรงเรียนสอนเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กหญิง แบบนี้น่าจะมีความสุขและสงบจนถึงบั้นปลายชีวิตได้”
“ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวและมีความสุขดังหวัง”
“...” หนึ่งยมทูตหนึ่งวิญญาณ จิบชาร่วมกันเงียบ ๆ กระทั่งในที่สุดก็วางจอกเปล่าลงบนโต๊ะ
“หนิงอัน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่านี่เป็นชีวิตสุดท้ายแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดี”
“เจ้าค่ะ” หนิงอันเองก็มีความตั้งใจ ว่าชีวิตรอบนี้จะไม่ตายเร็ว นี่กลายเป็นเป้าหมายใหม่ในชีวิตของนางไปโดยปริยาย
ยังนึกสงสัยว่าที่โดนฆ่าด้วยยาพิษอย่างไม่รู้ตัวนี้ก็เพราะจะไถ่ตัวเองออกจากหอจันทรา ซึ่งเป็นหอนางโลมภายใต้วังมาร จอมมารต้องไม่พอใจถึงมีคำสั่งลงมาให้เก็บนางแน่ ๆ
แต่วิญญาณสาวยังมองโลกในแง่ดีว่ามีเวลาอีกหนึ่งชีวิต ชีวิตที่สองนี้ก็ถือว่าไปหาความรู้เพิ่มเติม ด้วยความรู้และประสบการณ์ชีวิต คราวนี้นางต้องปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาวได้อย่างแน่นอน
“มาคราวหน้าเจ้าจะไม่เจอข้าแล้ว”
“เฮยไป๋อู่ฉางจะมานำทางข้าสู่ปรโลกจริง ๆ แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ทั้งใช่และไม่ใช่ ข้ามีหน้าที่เพียงส่งเจ้าย้อนกลับไป คราวหน้าก็คงไม่เจอกันอีกแล้ว”
“ท่านยมทูตจึงจัดงานเลี้ยงส่งข้าเสียใหญ่โต ขอบคุณนะเจ้าคะ” มองโต๊ะน้ำชาที่มีของกินอยู่มากมายหนิงอันก็เออออไปเอง
ยมทูตหน้าหยกกลอกตาเขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ วิญญาณสาวอยากมองโลกในแง่ดีคิดไปเองอย่างไรเขาก็ไม่ขัด
“ท่านยมทูตท่านช่างน่าเบื่อเสียจริง” หนิงอันเผลอหลุดปากบ่นเสียงในใจออกมา นางรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“ขออภัย ข้าไม่ได้นินทาท่านนะเจ้าคะ” นางแค่เผลอบ่นความในใจออกมาเท่านั้นเอง
“ข้าไม่ถือสา ถึงเวลาเจ้าต้องไปแล้ว”
“ท่านยมทูต ขอบคุณนะเจ้าคะ” กล่าวจบร่างของวิญญาณสาวก็เลือนหายไป พร้อมกันนั้นทุกอย่างในบริเวณนี้ก็มืดดับลง ราวกับที่ตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น มีเพียงเสียงของยมทูตหนุ่มที่ยังดังก้องกันวาน
“ขอให้นางได้มีชีวิตยืนยาวสมใจจอมมาร”