บทที่ 2 โอกาสสามครั้ง
ยมทูตหนุ่มนั่งจิบชาอย่างใจเย็น นี่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ๆ หญิงสาวผู้มีโอกาสถึงสามครั้งให้เลือกใช้ชีวิต กลับจบชีวิตลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาด นึกสงสัยในตนเอง คิดว่ารู้จักมนุษย์ดีแล้ว ยังมีมนุษย์ผู้หนึ่งที่ทำให้การคำนวนของตนผิดพลาดอยู่ด้วย เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริง ๆ
“ไหนว่ามาซิ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนัก รู้ว่ามีเหลืออยู่อีกเพียงสองชีวิต ทำไมไม่ใช่ชีวิตให้คุ้มค่า รีบกลับมาทำไมกัน”
“แหะ ๆ ท่านยมทูต ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้หรอก” หนิงอันจิบชาราวกับกระหายน้ำอย่างมาก พอดื่มเสร็จวางจอก ถึงได้เริ่มรำพึงรำพันต่อ
“ข้าเองก็อยากมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ เพียงแต่มนุษย์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อะแฮ่ม ข้าหมายถึง ท่านยมทูต ครั้งนี้ข้าไม่ได้คิดที่จะตายเร็วเลยแม้แต่น้อยจริงๆ นะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจแล้ว ชีวิตนี้เป็นชีวิตสุดท้ายของเจ้าแล้วนะ หากเจ้าเจอเรื่องไม่คาดฝันอีกจะทำอย่างไร ใช้ชีวิตสี่ห้าปีแล้วตายอีกครั้งหรือ”
“โถ่~” โอดครวญแล้วก็หยิบน้ำชาขึ้นมากระดกอีกหลายอึก
“…”
“เป็นใครไม่เสียดายบ้างล่ะเจ้าคะ ข้าเองก็เสียดายเช่นเดียวกัน แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัยช่วยไม่ได้จริง ๆ”
“...” ยมทูตหนุ่มรู้สึกว่าตนเองแก่ลงหลายปี
“ห้าปีเองนะเจ้าคะ หรือว่าข้าถูกกำหนดมาให้ตายตอนอายุยี่สิบ…เอ็ด แหะ ๆ ก็คราวก่อนข้าก็ตายตอนยี่สิบ คราวนี้ตายตอนยี่สิบเอ็ด คราวหน้าไม่ใช่จะตายตอนยี่สิบสองนะเจ้าคะ แบบนี้ข้าไม่เอานะ” พอรู้ว่าตนเองมีโอกาสสามรอบ ก็อดสงสัยไม่ได้หรือว่าเวลาที่มีให้จะจำกัด ก็นางตายเร็วตลอดเลยนี่นา
“...”
“ข้ายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย ทั้งที่มีโอกาสแท้ ๆ” หญิงสาวทอดถอนใจออกมา บ่งบอกว่านางไม่ใช่คนฆ่าตัวตาย หรือตั้งใจให้ตัวเองตกตาย แต่เป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ
“เอาล่ะ เจ้าไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่หรือตาย ผู้ที่กำหนดได้มีแต่ตนเอง ไหนเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก”
“เฮ้อ ถ้าจะให้พูดถึง…” หนิงอันถอนหายใจออกมายาว ดวงตานางดูเหม่อลอย ก่อนจะกลายเป็นประกายสดใสในชั่วพริบตา
“ชีวิตนี้ข้าใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว แม้จะไม่ได้มีชีวิตที่ยืนยาว แต่ก็พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ข้าได้รับหลายสิ่งหลายอย่าง มากมายยิ่งกว่าในชีวิตแรก”
“อย่างไร” ตามจริงยมทูตหนุ่มไม่ได้มีหน้าที่มานั่งสนทนากับวิญญาณสาว คราแรกเขาก็คิดจะปล่อยผ่านไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขาชักอยากรู้เรื่องราวในชีวิตที่สองของนางเสียแล้ว
“ท่านยมทูต ข้าเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ท่านให้โอกาสชีวิตข้าอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงให้โอกาสบิดามารดาของข้า พวกเขาได้จากไปแล้วด้วยไข้ป่าเมื่อข้าย้อนเวลากลับไปในตอนสิบหกหนาวใช่หรือไม่”
“สิบหกหนาว เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิต ให้เจ้าได้มีทางเลือกมากมาย”
“ข้าก็ไม่คิดประท้วงแต่อย่างใด แม้ย้อนกลับไปไวกว่านั้นก็ไม่แน่ว่าจะช่วยชีวิตบิดามารดาเอาไว้ได้ ลิขิตสวรรค์หรือจะสู้มานะคน แต่มานะคนก็ไม่สู้ธรรมชาติการเกิดแก่เจ็บตาย อย่างไรก็ต้องพ่ายให้โรคภัยอยู่ดี ตัวข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังมากมายถึงเพียงนั้น”
“เจ้าอยากย้อนกลับไปตั้งแต่วัยเยาว์หรือ?”
“ไม่เลย ข้ามีความทรงจำวัยเยาว์ร่วมกับบิดามารดาอย่างงดงาม หากย้อนกลับไปแล้วไม่รู้ว่าข้าปฏิบัติสิ่งใดผิดพลาดทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาหรือไม่ ข้าก็ขอย้อนกลับไปแค่ช่วงเวลาสิบหกหนาวยังดีกว่า”
“เพราะเกรงจะเกิดเหตุสุดวิสัยดั่งชีวิตนี้ของเจ้าหรือ”
“...” หนิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม นางหยิบขนมบนโต๊ะขึ้นมากิน ทำให้ยมทูตหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ
“นั่นเจ้า…” บนโต๊ะมีของว่างมากมาย การหยิบขนมชิ้นหนึ่งไม่ได้แปลก ในคราวก่อนหนิงอันก็กินขนมแต่ที่น่าแปลกคือ ดั่งนางรับรู้ว่าต้องกินขนมชิ้นนี้กับชาดำฉีเหมินจึงจะเข้ากัน ดูเหมือนในชาติภพที่สองของนางไม่เสียเปล่าจริง ๆ
“ท่านส่งข้าย้อนกลับไปตอนสิบหกหนาวพอดีใช่หรือไม่ ท่านยายหนิงข้างบ้านก็เพิ่งเสียชีวิต ข้าเองหมดที่พึ่งแล้ว ชีวิตแรกช่วงเวลานั้น สามีน่าตายผู้นั้นของข้าก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับปลุกปลอบ ทำเหมือนข้าเป็นน้องสาวที่เขาเอ็นดูหวงแหนจนข้าตกหลุมพราง”
“...” เขาจำสามีคนนั้นของนางจากบันทึกความทรงจำวิญญาณได้ คนไร้คุณธรรมเช่นนั้นจะลืมได้อย่างไร
“แต่ชีวิตนี้ข้าไม่ได้ตกหลุมพรางของสามีน่าตายผู้นั้น เขาจึงรามือจากข้าและไปเกี้ยวบุตรสาวของพ่อค้าเขียงหมูแทน ส่วนข้าก็มีความคิดที่จะเปิดร้านขายของป่า ดั่งที่เคยวางแผนไว้ในชาติภพแรก น่าเสียดาย…”
“เจ้าโดนพ่อค้าทาสจับไป หรือโดนโจรปล้นล่ะ”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” หนิงอันอ้าปากค้างมองยมทูตหนุ่ม ซึ่งตอนนี้นางรู้สึกเหมือนเขาใกล้ชิดราวกับสหาย
“เพิ่งออกจากหมู่บ้าน หญิงสาวตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ซ้ำยังมีชีวิตต่อมาอีกหลายปี หากไม่กลายเป็นทาส ก็คือกลายเป็นภรรยาโจร”
“ท่านเดาผิดแล้วนายท่าน”หนิงอันยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะพึมพำ“แม้จะใกล้เคียงก็ตาม..”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร ใยจึงบอกตนเองใช้ชีวิตคุ้มค่า ตอนที่ฝึกฝนเพื่อเป็นภรรยาของขุนนางในชีวิตแรก ก็ถือว่าได้ความรู้มาไม่น้อยมิใช่หรือ”
“ก็นั่นแหละ ข้าเล่าต่อดีกว่า ท่านคงอยากรู้จะแย่แล้ว”
“...” ยมทูตหนุ่มกลอกตา ไม่ใช่แค่ตนอยากรู้ คาดว่านักอ่านก็คงอยากรู้จะแย่แล้วเช่นกัน
“ข้าเป็นหญิงสาวตัวคนเดียวออกจากหมู่บ้านมาไม่ไกลก็ดันถูกโจรปล้น โชคดีที่ท่านลุงโจรพอมีคุณธรรม นำข้าไปขายในหอนางโลมโดยที่ไม่ได้แตะต้องตัวข้าเพราะสงสารเห็นใจ”
หนิงอันไม่ได้เล่าว่าตอนแรกท่านลุงโจรก็จะมอบนางให้แก่ลูกน้องเหมือนกันนั่นแหละ แต่พอนางเล่าเรื่องชะตาอาภัพของตนที่ต้องสูญเสียครอบครัวพ่อแม่พี่น้องไปจนหมด ท่านลุงโจรก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา กล่าวว่าเขาก็เคยมีบุตรสาวที่ตายไปแล้ว เห็นแก่ที่นางเป็นบุตรสาวไร้ที่พึ่งเช่นกัน เขาจะส่งนางไปที่ที่ดีหน่อยก็แล้วกัน จากนั้นก็นำนางไปขายในหอนางโลม
“นำเจ้าไปขายหอนางโลมยังเรียกว่าสงสารเห็นใจได้หรือ” สำหรับหญิงสาวนี่เท่ากับเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แต่หนิงอันไม่ถือสาเพราะนางมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
“เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือเจ้าคะ ข้ายังมีอีกหนึ่งชีวิต คราวนี้แม้ต้องจบลงที่หอนางโลม ก็เพียงแค่ต้องเก็บเกี่ยวความรู้มาให้มากที่สุด ข้าได้รับรู้ข่าวบ้านข่าวเมืองมากมายตลอดเวลาที่ทำงานอยู่หอนางโลม ได้รู้จักกับพ่อค้า คหบดี ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกับผู้คนหลากหลายอาชีพ ศาสนา ได้ล่วงรู้ความลับของผู้คนมากมาย ยังได้เรียนรู้ศาสตร์และศิลป์อีกต่างหาก”
“เจ้าไม่รู้สึกแย่เช่นนั้นหรือ นางโลม…” นางโลมทำงานอะไรไยยมทูตหนุ่มจะไม่รู้
“ฮ่าๆ ๆ ท่านยมทูตคิดมากเกินไปแล้ว นางโลมเองก็แบ่งเป็นหลากหลายระดับ ตัวข้านั้นเพราะมีความสามารถในการเดินหมาก ชงชา และอ่านออกบ้าง จึงถูกฝึกฝนจนกลายเป็นนางโลมขายศิลป์ ก่อนที่ข้าจะตายยังมีคนเรียกข้าว่านางโลมอันดับหนึ่งอีกด้วยนะเจ้าคะ”
“หน้าตาท่าทางของเจ้าก็ไม่เลว” ยมทูตหนุ่มพูดจากใจจริง
“ขอบคุณนายท่านที่เอ่ยปากชมข้า” ครั้งนี้นางกลับมาด้วยลักษณะของหญิงสาวช่างเอาใจจริง ๆ สมแล้วที่ฝึกฝนในหอนางโลมมากว่าห้าปี
“แล้วอย่างไรต่อ ทำไมจึงตายเร็วนักเป็นถึงนางโลมอันดับหนึ่งแล้ว”