บทที่ 10 ชายชุดดำคนวังมาร
“นี่คือป้ายชื่อ ข้าอยากได้ที่ดินเล็ก ๆ ติดริมน้ำ สามารถสร้างเรือนหลังเล็ก ๆ พร้อมทั้งสร้างเพิงขายน้ำชาข้างทางได้ พอจะมีหรือไม่” คราแรกก็คิดจะเดินออกจากเมือง แต่พอคิดว่าอาจจะโดนโจร หรือไม่ก็พวกคุณชายเสเพลที่มาเที่ยวหอนางโลมเข้ามาเกี้ยวพาอีก หนิงอันจึงกลับไปที่จวนของท่านลุงต้าเซ่าแล้วขอยืมรถม้าออกมาแทน ได้ทั้งผู้คุ้มกันและรถม้าเดินทางสะดวก แม้จะต้องเอาเปรียบท่านลุงต้าเซ่าสักหน่อย ไว้นางจะชดใช้ให้ก็แล้วกัน
มาถึงก็พอดีกับที่หัวหน้าหมู่บ้านกลับมาจากทุ่งและกำลังจะกินข้าวเย็น แม้จะรบกวนไปบ้างแต่เรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยไว้นานได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถสบายใจได้เสียที
ชีวิตครั้งที่สามนี้หนิงอันต้องมีอายุยืน!
“เรื่องนี้พอจะมีที่ดินเข้าเค้าพอดี เจ้าต้องการไปดูตอนนี้หรือ ตะวันใกล้ตกดินแล้วจะเห็นอะไรเล่า ไม่สู้มาในวันพรุ่งนี้จะดีกว่า”
“วันพรุ่งนี้ข้าคิดว่าจะติดต่อช่างมาก่อสร้าง ขอไปดูวันนี้เลยดีกว่าเจ้าค่ะ” การเดินทางระหว่างบ้านไปเมืองครั้งหนึ่ง ต้องเสี่ยงหนึ่งรอบ หนิงอันไม่ชอบใช้ชีวิตในความเสี่ยงเด็ดขาด เมื่อจุดมุ่งหมายสูงสุดของนางคือการมีอายุยืน ดังนั้นต้องทำทุกอย่างด้วยความไม่ประมาทและรอบคอบที่สุด
“ได้ เช่นนั้นก็ไปกัน” หัวหน้าหมู่บ้านนำทางไป เมื่อเห็นรถม้าก็รู้สึกว่าหนิงอันไม่ใช่คนธรรมดาจึงไม่กล้าพูดมากด้วยอีก แต่ก็ยังคงแนะนำที่ดินเจื้อยแจ้วตามหน้าที่
“ที่ตรงนี้มีลำธารไหลผ่าน มีพื้นที่ราวสิบหมู่ แม้จะใหญ่ไปหน่อยแต่เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไผ่เลยไม่มีผู้ใดต้องการ หากท่านจะเปิดโรงน้ำชาก็พอดี” ป่าไผ่กับโรงน้ำชาเป็นของคู่กัน หนิงอันก็คิดว่าเหมาะสมนัก
“ข้าเอาที่นี่”
“ยี่สิบตำลึงเงิน”
ที่ดินค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับความคุ้มค่า แต่ก็จ่ายไปเพราะยังมีเงินเหลืออยู่อีกมาก หนิงอันกลับเข้าเมืองในคืนนั้นเมื่อได้รับหนังสือรับรองจากหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เหลือเพียงนำหนังสือนี้ไปรับโฉนดในเมืองเท่านั้น
ความจริงสามารถให้หัวหน้าหมู่บ้านมารับแทนได้ แต่หนิงอันคิดว่าต้องอยู่ในเมืองอยู่แล้ว จึงมารับด้วยตนเอง
ในวันที่สองหลังจากมาถึง นางวุ่นวายอยู่กับการจ้างช่างไปสร้างเรือนพักและโรงน้ำชา ยังไม่รวมลานเล็ก ๆ สำหรับสอนหนังสือเด็กผู้หญิงอย่างที่ตั้งใจไว้ หนิงอันต้องการให้หญิงสาวมีความสามารถมากขึ้นเพื่อเป็นข้อต่อรองหรือใช้ในการเลี้ยงชีพได้ ไม่ต้องพึ่งพาชายหนุ่มไปตลอดชีวิต แบบนี้พวกนางก็จะมีความมั่นใจในตัวเองและอยู่รอดได้มากขึ้นหากขาดเสาหลักของครอบครัว
หลังเสร็จงานนางไม่ได้กลับไปนอนในจวนของท่านลุงต้าเซ่าเพราะเกรงจะเรียกปัญหามาเพิ่ม ซ้ำยังสวมหมวกมุ้งเพื่อป้องกันการดึงดูดปัญหาใส่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีปัญหาใหญ่กำลังตามล่านางอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน
ในห้องสีดำสนิทจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ชายชุดดำปรากฎกายขึ้นก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนแต่ไม่ดังนัก
“นายท่าน พบนางแล้วขอรับ”
“ดี! นำตัวนางมาให้ข้า”
“แต่ดูเหมือนมีผู้อื่นพบนางเช่นกัน”
“พวกหนอนแมลงสินะ เช่นนั้นคงได้โอกาสให้ข้ากำจัดหนอนแมลงพวกนี้พอดี ปล่อยให้พวกมันลงมือก่อน แล้วเราค่อยรวบแห”
“แต่…”
“อย่าให้ข้าพูดมาก”
“ขอรับนายท่าน”
หนิงอันที่ไม่รู้ว่าอันตรายบางอย่างกำลังคืบคลานเข้าใกล้ตัว ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สามวันนี้นางมีนัดกับนายช่างเพื่อไปดูพื้นที่และจ่ายเงิน หญิงสาวจึงต้องจำใจนำปิ่นทองบนหัวไปขายในโรงรับจำนำ
“ให้ข้าเยอะกว่านี้หน่อยเถอะ” นางเอ่ยต่อรอง แต่กลับโดนสายตาพิฆาตของคนชราตอบกลับ
“ไร้สาระ ข้าให้เยอะสุดแล้วไม่เชื่อเจ้าก็ลองไปร้านอื่นดู”
“น่า ๆ อย่าใจร้อนไปเลยเถ้าแก่ ข้าขอเพิ่มสักหนึ่งตำลึงเงินก็ได้ ถือว่าเลี้ยงขนมเด็กตาดำ ๆ เถอะนะเจ้าคะ”
“ขนมเจ้าแพงราวกับทอง เอา ๆ ช่างมันถือว่าข้าเห็นใจหญิงหม้ายสามีตายเช่นเจ้าคงลำบากไม่น้อย แต่อย่ามาเรียกหาน้ำใจจากข้าบ่อยนัก เจ้าเด็กนี่ได้คืบจะเอาศอกจริง ๆ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา”
หนิงอันใช้ความสามารถในการพูดคุยตีสนิทและเอาใจ จนทำให้ได้รับผู้ใหญ่ใจดีที่เอ็นดูนางมาสองคนแล้ว คนหนึ่งก็คือท่านลุงต้าเซ่า ยังรวมถึงท่านตาในโรงรับจำนำนี่อีก ล้วนใจดีกับนางทั้งสิ้น แตกต่างจากชีวิตแรกยิ่งนักเพราะมัวใส่ใจแต่สามีเลยทำให้พลาดไปหลายสิ่งหลายอย่างจริง ๆ
หญิงสาวเดินอารมณ์ดีอยู่ในเมือง คิดว่าถ้ามีบ้านแล้วก็คงจะซื้อของเข้าบ้านหลายอย่าง ยังมีร้านน้ำชาที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่แน่นางอาจรับงานคัดหนังสือมาเขียนก่อนเพื่อหาเงินใช้ระหว่างรอให้ร้านน้ำชามีลูกค้า
ขณะที่คิดก็เดินผ่านร้านหนังสือจึงคิดจะแวะเข้าไป แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนวันนี้จะมีคนสวมชุดดำเดินเพ่นพ่านบ่อยกว่าปกติ ราวกับพวกเขากำลังหาอะไรบางอย่าง
คนเหล่านี้คือคนของวังมารอย่างแน่นอน หนิงอันทำงานอยู่ภายใต้พวกเขาห้าหกปี แม้ได้ชื่อว่าเป็นคนของพรรคมารแต่พวกเขาก็มีคุณธรรมในแบบของตัวเอง และปกครองเมืองอย่างดีไม่มีการเกะกะระรานชาวบ้านให้คนหวาดกลัว