บทที่ 11 เลี่ยงเช่นไรก็ยังคงเกิดขึ้น
ดังนั้นหนิงอันและชาวบ้านจึงไม่มีท่าทางหวาดกลัว ยังมีเพียงผู้สัญจรผ่านไปมาที่เพิ่งเคยมาเมืองมารที่กำลังหวาดกลัวหรือตกใจกับกลุ่มชายชุดดำเต็มถนน
‘ช่างเถอะ พวกวังมารหาอะไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า’ หนังอันคิดเช่นนั้นเดินเข้าไปในร้านหนังสือ
“หลงจู๊ ที่นี่รับคนคัดหนังสือเพิ่มหรือไม่”
“รับสิแม่นาง แต่ต้องขอดูลายมือของเจ้าก่อนนะ” ว่าแล้วก็ไปหยิบเครื่องเขียนและกระดาษมาให้ วางไว้ด้วยความคุ้นเคย บ่งบอกว่าทำเช่นนี้เป็นประจำ คงมีคนมาขอคัดตำราไม่น้อย
“...” หนิงอันหยิบเครื่องเขียน ตวัดพู่กันด้วยความคุ้นเคย ลายอักษรที่ออกมานั้นงดงามชดช้อยบ่งบอกถึงตัวตนของคนที่มองโลกในแง่ดี ส่งผลให้ตัวหนังสือมีพลังสดชื่นกระตือรือร้นอย่างประหลาด เห็นเช่นนั้นหลงจู๊ก็รีบปรบมือ
“งดงามยิ่งนัก หนังสือที่แม่นางคัดต้องเป็นที่นิยมมากอย่างแน่นอน มาเถอะเลือกตำราที่ท่านต้องการจะคัดไปได้เลย”
“ข้าขอเป็น…ตำรานี้ก่อนแล้วกัน”
“นี่เป็นบทเรียนเริ่มต้นสำหรับอ่านเขียน แม่นางแน่ใจหรือขอรับ” น้อยคนนักที่จะซื้อหนังสือนี้ แม้เป็นสิ่งจำเป็น แต่ส่วนใหญ่ล้วนส่งต่อกันในตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นจึงไม่เป็นที่นิยมแพร่หลาย แตกต่างจากหนังสือบทเรียนอื่น ๆ ที่มีการเขียนใหม่ให้ทันต่อยุคสมัย บัณฑิตต้องเรียนรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา
“แน่นอน” หนิงอันมีความฝันที่จะเปิดโรงเรียนสอนสตรี สิ่งนี้จำเป็นต่อโรงเรียนของนาง เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คุ้มค่าที่สุดแล้ว
“ท่านกำหนดส่งอย่างไร ต้องมีมัดจำไว้สองตำลึงเงิน นี่เป็นค่าตำรา เมื่อคัดเสร็จนำส่งจะได้เงินคืนพร้อมค่าคัด”
“นี่เงิน ข้าซื้อเครื่องเขียนด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้าจะเตรียมให้ นี่เป็นสิ่งที่ทางร้านสนับสนุนต่อบัณฑิต…และผู้คัดอยู่แล้ว” ในยุคนี้ยังไม่มีกำเนิดบัณฑิตหญิง หลงจู๊จึงต้องรีบเปลี่ยนคำ แม้ยังไม่มีบัณฑิตหญิงแต่มีหญิงสาวที่สามารถคัดหนังสือได้หลายคนล้วนเกิดมาในตระกูลบัณฑิต ดังนั้นเขาเลยไม่ได้แปลกใจอะไรที่หนิงอันเขียนหนังสือได้งดงาม
“เช่นนั้นข้าจะส่งเป็นรอบเดือนก็แล้วกัน”
“ตกลง แม่นางอย่าหักโหม ค่อย ๆ เขียน เดินช้า ๆ ข้าออกไปส่ง”
“...” ออกจากร้านหนังสือมาแล้วต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อมีคนชุดดำบนถนนมากจริง ๆ สงสัยช่วงนี้คงต้องเก็บตัวไม่ออกจากห้องบ่อย ๆซะแล้ว แต่อย่างไรวันนี้ก็ต้องไปพบช่าง เห็นทีจะเลี่ยงไม่ได้
แม้จะเสี่ยงแต่คงต้องจำยอม
หนิงอันคิดจะไปขอยืมรถม้าและผู้คุ้มกันอีกครั้งก็พบเพียงพ่อบ้านชรายืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาราวกับกำลังรอนางอยู่จริง ๆ
“คุณหนูท่านมาเสียที ตอนนี้นายท่านมีงานด่วนต้องรีบไป ผู้คุ้มกันก็ติดตามไปทั้งหมด ดังนั้น…หากคุณหนูต้องการรถม้า ข้าจะเรียกให้”
“ไม่เป็นไร” หนิงอันครุ่นคิด มีเกวียนเทียมจากเมืองไปหมู่บ้าน นางสามารถนั่งเกวียนเทียมได้ ต่อไปก็ใช่ว่าจะมีรถม้าให้ใช้ตลอดยกเว้นแต่ซื้อเอง นางคงไม่พึ่งพาท่านลุงต้าเซ่าบ่อยปานนั้น
“ข้าจะแวะมาอีกครั้ง หากท่านลุงกลับมาแล้วช่วยบอกข้าด้วย”
“คุณหนู นาน ๆ นายท่านจึงกลับมาอาศัยพักผ่อนในเมืองสักครั้ง อย่างไรท่านก็อย่าลืมนายท่านนะขอรับ” พ่อบ้านชราดูเหมือนกลัวว่าหนิงอันจะลืมพ่อตัวเองอย่างไรอย่างนั้น นางได้แต่หัวเราะและตอบเสียงใส
“ข้าไม่ลืมท่านลุงอย่างแน่นอน ข้าสัญญาแล้วว่าจะกตัญญูต่อท่านลุงดั่งญาติผู้ใหญ่จริง ๆ ท่านพ่อบ้านอย่าได้กังวล เป็นหลานลุงกันวันเดียวเท่ากับเป็นญาติกันไปตลอดชีวิต”
“คุณหนู~” พ่อบ้านชราเอ่ยร้องเสียงเครือยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
“ท่านพ่อบ้านอย่าขี้แยนักเลย เดี๋ยวท่านลุงก็กลับมาแล้ว วันนี้ข้าต้องรีบไปแล้วประเดี๋ยวไม่ทันนัด ไว้ข้ามาเยี่ยมท่านลุงบ่อย ๆ”
“คุณหนูเดินทางปลอดภัยนะขอรับ” พ่อบ้านชรารู้สึกปวดหนึบในใจ เขาไม่มั่นใจนักแต่ราวกับกำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ได้แต่หวังว่าคุณหนูและนายท่านจะผ่านมันไปด้วยดี
หญิงสาวรูปร่างอรชรสวมหมวกมุ้งต่อแถวออกนอกเมืองโดยไร้ผู้ติดตามดูเหมือนจะเป็นที่จับจ้องมากเกินไปหน่อย หนิงอันจึงเปลี่ยนไปใช้ผ้าปิดหน้าแทน ขณะถอดหมวกมุ้งนั้นนางเห็นชายชุดดำจำนวนมากหันมามองเป็นตาเดียว จึงรีบก้มหน้างุดลง มือบางหยิบผ้าปิดหน้าขึ้นสวมทับ ชายชุดดำเลิกมองแล้ว พวกเขาคงแค่มองตามประสา
‘ชุดดำทำให้นึกถึงท่านยมทูตจริง ๆ คราวนี้ข้าตายไปคงไม่ได้พบกับเขาแล้ว’ หนิงอันรู้สึกนึกถึงช่วงเวลาสบาย ๆ ที่ไม่ต้องพยายามเอาชีวิตรอด เพราะแบบนั้นถึงได้รู้สึกสบายใจยามอยู่กับท่านยมทูตหนุ่ม ทั้งที่เขาออกจะเย็นชา
“แม่นางหนิงอัน?” ทหารยามเอ่ยชื่อนาง หนิงอันพยักหน้าให้เขา ปกติออกจากเมืองโดยมีรถม้า ไม่เห็นจะตรวจสอบยุ่งยากขนาดนี้เลย
“ตกลง พวกเราเห็นแล้ว ท่านออกไปได้”
“ขอบคุณพี่ทหาร” หนิงอันโปรยยิ้ม ขณะเดินมาต่อแถวขึ้นรถเกวียนเพื่อไปยังหมู่บ้านดงหลิวที่อยู่ไม่ไกล ความจริงหากจะเดินไปก็ย่อมได้ แต่หนิงอันยังหวาดระแวงเรื่องโจรป่าที่ดักปล้นในชีวิตที่สอง นางเลยไม่กล้าที่จะเดินเข้าป่าเพียงลำพัง
“เหลือที่เดียวจะไปไม่ไป” ในที่สุดก็ถึงคราวของนางแล้ว หนิงอันมองรถเกวียนที่เกือบเต็มแล้วรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน คิดว่าเมื่อมีเงินสงสัยต้องหาจ้างรถเกวียนพร้อมสาวใช้ที่ขับได้ เวลาไปไหนมาไหนจะได้ไม่ลำบากอีก
“ไป ๆ”
ว่าแล้วก็พยายามยัดตัวเองนั่งลงบนเกวียน โชคดีที่รอบ ๆ มีแต่เด็กและผู้หญิง ทั้งสองข้างเป็นเด็กน้อยเลยไม่ค่อยเบียดเท่าไหร่ น่าสงสารแต่เด็กน้อยโดนผู้หญิงอวบอ้วนเบียดจนแทบจะตก หนิงอันต้องคอยจับไว้ตลอดทาง
เพียงไม่นานนางก็ต้องลง แม่เด็กที่เดินตามท้ายเกวียนจึงเปลี่ยนให้เด็กนั่งข้างกัน ปรากฎว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันแต่แม่ให้นั่งแยกเพราะคาดเดาไว้แล้วว่าหนิงอันจะช่วยดูเด็ก
‘ชาวบ้านไม่ได้โง่ไปซะทุกคน’ คิดแล้วก็มองผู้หญิงคนนั้น ถ้านางมีโอกาสก็อยากจะมีสาวใช้ที่ฉลาดเหมือนแม่เด็ก แต่ก็ต้องดูอีกหลายอย่างประกอบกัน
‘ช่างเถอะ ตอนนี้รีบไปดีกว่าไม่รู้ช่างมาหรือยัง’ คิดแล้วหญิงสาวก็เดินดุ่ม ๆ มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ดินของตนเองทันที เพียงไม่นานก็มาถึงเพราะอยู่ไม่ห่างจากหน้าหมู่บ้านมากนัก ที่สำคัญคือเงียบสงบ
‘แต่แบบนี้จะสงบเกินไปรึเปล่า’ เสียงลมที่พัดผ่านป่าไผ่หวีดหวิวให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยปรากฎขึ้นอีกครั้ง ราวกับฉากในชีวิตที่สองย้อนกลับมา ชายชุดดำปรากฎตัวจากชายป่าจริง และโจรที่ดักปล้นราวกับภาพที่ซ้อนทับกัน ร่างบางเซถลาเพื่อหาที่หลบ หนิงอันทันคิดเพียงคำเดียวก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงราวกับภาพตัด
‘อ่า… นี่ข้าจะตายอีกครั้งแล้วใช่หรือไม่’