ชินอ้ายเตอ - 04
"อ๊ะ! มีสายเข้า ขอตัวแป๊บนะ แฟนโทร.มา"
"รีบหนีเชียว" ฉันพึมพำ ทว่าพวกแก๊งฉันได้ยินกันทุกคน
"สรุป ตอนนั้นแกโดนปูเป้วางยาถ่ายเหรอวะ?" ไอ้อิฐถาม
"..." ฉันพยักหน้าตอบ
"อ้าว แล้วทำไมตอนนั้นป่านไม่บอกความจริงจารย์ล่ะ?"
ฉันส่ายหัวให้กับคำถามของยัยอาย จิ้มส้อมลงบนหนวดปลาหมึกอย่างแรงเหมือนนั่นคือหน้าของยัยปูขาเป๋
"ถ้าตอนนั้นฉันรู้ทันคงไม่มานั่งแขวะนางตอนนี้หรอก!"
และนั่นคือสิ่งที่ฉันพลาดมาก สมัยวัยรุ่นไม่น่าโง่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนอย่างเธอ จริง ๆ น่าจะเอะใจตั้งแต่ที่จู่ ๆ เธอก็เปลี่ยนชื่อจาก ปัทมาเป็นปัณรวีย์ ขาดเกินกับชื่อฉันไม่กี่อักษรก็แทบจะเรียกคนเดียวกันแล้ว
"แต่ก็สะใจนะที่สุดท้ายปูเป้ตกตั้งแต่รอบแรกเลย"
ใช่ ตอนนั้นสะใจอย่างที่ป๋องแป๋งว่านั่นแหละ
"พอ ๆ เลิกคุยเรื่องนางเถอะกระเดือกไม่ลง!"
ใครบอกว่าฉันเจ้าคิดเจ้าแค้นก็เอาเลย เพราะไม่ได้มีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวที่ปูเป้ทำไว้กับฉัน
"มา ๆ ชนแก้ว!" ฉันรีบยกแก้วไวน์ในมือชนกับไอ้เบิลและเพื่อนคนอื่น ๆ
ผ่านมาตั้งสิบสองปี แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าฉันเพิ่งเรียนจบแค่เมื่อวานก็ไม่รู้
ไม่รู้ตอนนี้งานรวมรุ่นผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ว รู้แค่ว่าอาจารย์วิชุดากับอาจารย์ท่านอื่น ๆ กลับกันหมดแล้วปล่อยให้พวกเราที่บรรลุนิติภาวะสามารถเอาตัวรอดกันได้แล้วกินดื่มอย่างสนุกสนานจนกว่าจะหนำใจ
"ไม่คิดเลยนะว่าพวกเราเข้าเลขสามกันแล้วจะยังโสดอยู่" อายโพล่งขึ้น เธอแก้มแดงเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยดื่มเท่าไร
"นั่นสิ เหมือนนัดกันโสดอะ" เสียงไอ้ป๋องแป๋ง
"แต่จะว่าไปแล้วในกลุ่มนี้มีคนเกือบแจกการ์ดแต่งงานไม่ใช่?" ไอ้อิฐปากหมาพูดขึ้น
ทุกคนยกเว้นมันเงียบกริบแถมยังมองหน้ากันเหมือนส่งสัญญาณว่าเตรียมวงแตก
"อดีตเคยพัง ปัจจุบันสำคัญกว่าเว้ย!"
ฉันนี่แหละคือคนที่เกือบร่อนการ์ดแต่งงานถ้าไม่ติดว่าคนที่คิดจะฝากชีวิตไว้มันดันเหี้ย
"เอาน่า ผู้ชายดี ๆ มีถมไป" ดับเบิลตบไหล่ฉันปลอบใจ
ถูกของมัน ผู้ชายดี ๆ มีถมไป ถมลงหลุมไปหมดแล้ว
"ผู้ชายดี ๆ สำหรับป่านรักมีแค่ในซีรีส์และนิยายเว้ย!"
"อันนี้เห็นด้วย" ยัยอายยกนิ้วโป้งชอบใจ
"สิบนาฬิกา"
กำลังคุยเพลิน ๆ ไอ้ป๋องแป๋งก็สะกิดบอก
พวกเราพร้อมใจกันกรอกตามองบนแทบจะทันทีที่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรอยู่ทางขวามือฉัน
"กลุ่มปูเป้กลับกันหมดแล้ว จะว่าอะไรมั้ยถ้าจะขอนั่งตรงนี้ด้วยคน" เสียงเล็กใสเอ่ยขออนุญาตอย่างผู้ดี
"เอาสิ งานทอดกฐินเราไม่ทำบาป"
ฉันรีบเตะขายัยอายที่กึ่ม ๆ แล้วพูดไม่เกรงใจอีกคน แต่ถามว่าสะใจไหม โคตรอะ!
"อะไรคือทำบาปเหรอ" ปูเป้ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจได้ตอแหลมาก
เมื่อกี้บอกไปแล้วใช่ไหมว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในงานนี้อายุเข้าเลขสามกันแล้วแต่ยัยปูเป้ยังทำเสียงอ่อนเสียงหวานดัดจริตเหมือนสาวแรกแย้มตอนอยู่มอสี่
ถามว่าเข้ากับรูปหน้าที่ยังไม่มีรอยตีนกาเพราะพี่โบ(ท็อกซ์)ช่วยไว้ไหม ก็เข้าแหละ แต่สำหรับคนฟังอย่างฉันมันกระดากหู อาจจะเพราะเรารู้พื้นเพนิสัยกันและกันมั้ง
"ไม่มีอะไรหรอกเมื่อกี้ยุงกัดปากยัยอายแล้วนางไม่อยากตบ" ฉันรีบตอบแทนอีกคนที่ตอนนี้จ้องหน้าปูเป้ด้วยแววตาที่ปิดไม่มิดเลยล่ะว่าไม่ชอบนาง
"ว่าแต่ทุกคนทำงานอะไรกันเหรอ ตั้งแต่จบมอปลายเราก็ไม่ได้ติดต่อใครเลยเพราะบินไปเรียนต่อที่ปารีส"
สำเนียง 'ปารีส' ชัดแจ๋วเชียวนะ
"พวกเราก็เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ นี่แหละ ใครจะไปรวยสู้ทายาทคนเดียวเจ้าของบ่อน้ำมันกัน" ฉันยังคงเป็นคนตอบเธอ
"ก็ว่าไป เราแค่มีวาสนาเกิดมาในครอบครัวรวยเท่านั้นเอง"
นี่นางกำลังขิงพวกฉันว่าแข่งอะไรก็ได้แต่แข่งบุญแข่งวาสนากับนางไม่ได้สินะ
"จะว่าไปปลายปีนี้แอนิเมชันฟอร์มยักษ์ที่แกดูแลด้านตัดต่อกราฟิกกำลังจะออนแอร์ไม่ใช่เหรอ"
หมั่นไส้คนอะ พอบอกว่าพวกเราเป็นมนุษย์เงินเดือนก็เกทับเรื่องวาสนาทันทีเลยต้องอวยเพื่อนอิฐที่โกอินเตอร์ได้ทำงานที่ญี่ปุ่นกับบริษัทที่สร้างการ์ตูนแอนิเมชันรายใหญ่สักหน่อย
"อีกสามเดือนรอดูฝีมือพี่อิฐคนหล่อได้เลย" ไอ้อิฐมันรู้กันกับฉันเลยไม่ถ่อมตัวสักนิด
"อิฐเก่งจัง ไม่คิดว่าจากนักเรียนดื้อ ๆ ไม่ค่อยรักเรียนจะได้ไปทำงานเมืองนอกแบบนี้"
เฮอะ นี่ไอ้อิฐกำลังโดนแซะคืนแบบผู้ดีอยู่สินะ
"ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ทำตามความฝัน"
"แล้วเงินเดือนดีมั้ย"
ไม่ได้ตั้งใจจะถามสารทุกข์สุขดิบหรอก แต่กำลังทำตัวเป็นสรรพากรเคลื่อนที่เพื่อดูรายรับคนอื่น
"ไม่เท่าไหร่หรอก ตอนนี้แค่เกือบสี่แสนเยนเอง"
ฉันเห็นนะเมื่อกี้รอยยิ้มที่เหมือนรอเหยียบซ้ำไอ้อิฐของปูเป้หายไปทันทีที่มันบอกว่าเดือนนึงทำงานได้แสนกว่าบาท
"เงินเดือนเป็นแสน แลกมากับแขนก็ปวด เสี่ยงสายตาเสีย ไม่คุ้มเหมือนปูเป้ที่เกิดมารวยหรอก"
"ป่านก็ว่าเกินจริง ถึงปูเป้จะรวยแต่ก็ทำงานนะ"
ฉันรีบมองเพื่อน ๆ ในโต๊ะทันที
เมื่อไรนางจะโม้เสร็จแล้วกลับ ๆ เสียที ชักจะรำคาญแล้ว
"มา ๆ ชนแก้วดีกว่าคุยนานแล้วคอแห้ง"
ดีที่ดับเบิลพาออกนอกเรื่องได้
"นั่นป่านดื่มไวน์เป็นด้วยเหรอ"
โทษทีนะ ถ้าแกล้งเมาแล้วเตะปากคนตอนที่สวมชุดเดรสแหวกข้างจะดูไม่ดีหรือเปล่า?
"ดื่มเป็นตั้งแต่แสงโสมยันของนอก ไม่เชื่อถามไอ้เบิลดู พ่อมันทำโรงบ่มไวน์แล้วก็นำเข้าเหล้านอก"
รีบอวดเพื่อนอีกคนตามสเต็ป
"งั้นไวน์นี่ก็..." ปูเป้มองไวน์องุ่นในมือนาง
"ของสมนาคุณจากพ่อเราเอง" ดับเบิลเน้นเสียงดังฟังชัดตอนกล่าวถึงสปอนเซอร์ไวน์รสเลิศที่เอามาให้เพื่อน ๆ ในงานดื่มฉลองกัน
"อร่อยเหมือนนำเข้าใช่ไหมล่ะ"
คนถูกเจ้าของไวน์ในมือถามถึงกับยิ้มบาง ๆ ออกมา
เห็นเดินชนแก้วคนนั้นคนนี้ทีด้วยไวน์ที่บ่มในไทยคงติดใจคิดว่าเป็นของนำเข้าสิท่า