ตอนที่ 2 - 1 ชิงเหมย เด็กหญิงผู้อาภัพ
หมอสวีหันกลับไปมองเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนางแล้ว ว่านางจะพ้นวิบากกรรมในครานี้ไปได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะรักษานาง ที่เขาทำได้แค่เพียงต้มยาให้แก่นางเพื่อรักษาสัญญาณชีพของนางเอาไว้เพียงเท่านั้น
หนึ่งคืนกับการนอนที่โรงหมอของท่านหมอสวี ซุนฉีจึงขอพาหลานสาวกลับไปพักที่เรือนของนาง ร่างเล็กถูกเคลื่อนย้ายไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ชาวบ้านฉีซานต่างมองมาที่สองยายหลานด้วยแววตาเวทนา บ้างก็ตำหนิญาติฝั่งบิดาของชิงเหมยที่ทอดทิ้งหลานแท้ๆ ให้มาตกระกำลำบากกับสตรีที่เป็นแม่หม้ายตั้งแต่ยังสาวเช่นนางซุนฉี แม้นางจะขยันขันแข็งแต่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของหลานสาวดีขึ้นได้
“วันนี้ยายจะทำน้ำแกงที่เจ้าชอบ ตื่นขึ้นมาเถิดหลานยาย เจ้านอนไปสองวันหนึ่งคืนแล้วหนา” มือหยาบกร้านที่ทำงานหนักมาตั้งแต่ยังสาวกุมมือเล็กของหลานสาววัยเจ็ดปีเอาไว้พลางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา
“เคราะห์กรรมอันใดกัน เหตุใดถึงได้เลือกเจ้า เหตุใดถึงมิไปเลือกพวกคนใจดำตระกูลซิ่ว”
ซุนฉีพึมพำออกมาทั้งน้ำตา หากโชคชะตาจะเลือกผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุใดถึงมิใช่พวกฝั่งพ่อของหลานสาว เหตุใดถึงให้ชีวิตของนางต้องเกิดมาอาภัพเช่นนี้ ซุนฉีบีบมือหลานสาวเบาสลับแรงเพื่อสังเกตการตอบสนอง แต่ทว่าร่างเล็กก็ยังคงนอนแน่นิ่ง ลมหายใจแม้จะแผ่วเบาแต่ก็มิได้ดับไป
หลังจากคืนแรกผ่านไป ซุนฉีก็ได้ไปตามหาท่านหมอจากหลายหมู่บ้านมาช่วยรักษา หมดเงินที่นางสะสมมาเนิ่นนานไปไม่น้อย แต่ก็มิมีหมอใดรักษาหลานสาวให้ฟื้นคืนกลับมาได้ เด็กหญิงนอนแน่นิ่งราวกับว่ากำลังติดอยู่ในห้วงของนิทรารมณ์ ซุนฉีถอดถอนใจคิดจะยอมแพ้ แต่แล้วกลางดึกของคืนที่สามที่หลานสาวนอนหลับใหลไป เด็กหญิงก็ได้ตื่นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์
“แค่กๆ” ร่างเล็กส่งเสียงไอออกมาก่อนที่เปลือกตาของนางจะค่อยๆ เปิดออก
แสงสว่างจากตะเกียงที่หัวเตียงภายในห้องซอมซ่อทำให้ผู้ที่เพิ่งฟื้นคืนมาตระหนกตกใจ นางมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่แห่งนี้มิใช่เรือนชานของนางในหมู่บ้านบางระกำที่อาศัยมาตั้งแต่เกิด นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางกำลังสู้กับพวกพม่าที่มาล้อมหมู่บ้านที่นางและสหายร่วมรบไปหาเสบียง
หรือว่ามีสหายมาช่วยพวกนางและพากลับมายังหมู่บ้าน แต่พอสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่ามิใช่เรือนชานที่นางคุ้นเคย มันแปลกตาไปหมด ดูเครื่องเรือนที่เก่าแก่และเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก็พอจะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ชุดที่ชาวสยามสวมใส่ หรือนางถูกพวกพม่าจับมาเป็นเชลย แต่สิ่งที่นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าคือความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนสติดับวูบไป ยามนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด
“แผล.. แผลข้าล่ะ เหตุใดข้ามิเจ็บปวดเลยสักนิด”
นางสำรวจร่างกายตนเองก่อนที่จะต้องตกใจเพราะร่างกายของนางในวัยสิบแปดปีนั้นเคยมีหน้าอกที่นูนออกมาตามวัย แต่ทว่ายามนี้กลับแบนราบและแขนของนางก็เรียวเล็กราวกับตะเกียบ ต่างจากร่างกายของนาง จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจึงล้มตัวลงนอนไปอีกครา ภาพที่ไม่เคยได้เห็นผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ ราวกับว่าได้เห็นเรื่องราวของใครสักคน
“โอ๊ย!! ปวดหัว” นางร้องอุทานออกมา
‘แอ๊ด!!!’ เสียงประตูหน้าห้องที่เปิดออกพร้อมกับร่างอวบอิ่มของสตรีในชุดประหลาดตา เป็นภาพเดียวกับที่คำเอื้อยได้เห็นในความนึกคิดของนาง
“ชิงเหมย!!! ตื่นแล้วหรือหลานยาย เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เสียงหวานสั่นเครือของซุนฉีดังขึ้นตามมาทันที คำเอื้อยที่ยังไม่รู้ตัวว่านางเองได้กลับมาเกิดใหม่ถึงกับตระหนกตกใจ แต่พอมองใบหน้าของสตรีสูงวัยตรงหน้าก็ดูคุ้นตา เพราะดูเหมือนภาพที่นางเห็นในความนึกคิดยามที่นางปวดศีรษะไม่มีผิด แต่ที่นางประหลาดใจนั่นก็คือนางสามารถฟังภาษาของหญิงสูงวัยตรงหน้านี้เข้าใจ ทั้งที่ไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดจาด้วยภาษานี้กับนางมาก่อน
“ชิงเหมย!!!”
นางทวนชื่อที่อีกฝ่ายเรียกขานนางออกมา ร่างเล็กค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่ง พลางสำรวจสตรีตรงหน้าที่เรียกขานตนเองว่ายาย
“หลานยาย เจ้ารู้หรือไม่ว่ายายเป็นห่วงเจ้าถึงเพียงใด ยายนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอหลานอีกแล้ว ฮึก…..” ซุนฉีดึงรั้งร่างหลานสาวเข้ามาในอ้อมกอด น้ำตาไหลพรากออกมาจนเปียกชุ่มเรือนผมของหลานสาว
คำเอื้อยพอจะมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยามนี้ออก เพราะนางเองก็ไม่ใช่คนโง่งม นางคงไม่ได้ถูกพวกข้าศึกจับมาเป็นเชลยที่เมืองประหลาดนี้ แต่ทว่านางคงจะตายแล้วมาเกิดใหม่ในโลกนี้เสียแล้ว มาเกิดในร่างของเด็กหญิงที่อ่อนแอและมีชีวิตสุดแสนอาภัพผู้นี้
เป็นเพราะภาพต่างๆ ที่ผุดเข้ามาในความนึกคิดของนางระหว่างที่ปวดศีรษะ ทำให้นางได้เห็นการใช้ชีวิตของเจ้าของร่าง เด็กหญิงผู้น่าสงสารที่สูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เยาว์วัย อาศัยอยู่กับท่านยายเพียงสองคน ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากเด็กวัยเดียวกัน ถูกญาติฝ่ายพ่อทอดทิ้งเพียงเพราะเป็นลูกที่เกิดจากหญิงสาวชาวบ้าน
‘โชคชะตาเล่นตลกอันใดกับข้ารึ เหตุใดถึงให้ข้ามาเกิดที่นี่มิใช่แผ่นดินสยามเล่า’
คำเอื้อยได้แต่คิดในใจ นางสวมกอดท่านยายของเด็กหญิงทั้งน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่ได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ แต่ที่ร้องไห้คือนางคิดว่านางจะมีชีวิตในโลกใหม่ ชีวิตที่ได้รับมาใหม่นี้ได้เยี่ยงไรกัน