๕ จนกว่าจะพอใจ (๑)
๕
จนกว่าจะพอใจ
“อย่าทำแม่นะ!”
เสียงดังมาแต่ไกลพร้อมการปรากฏตัวของหนูน้อยที่รีบวิ่งมาผลักร่างสูงออกห่างจากมารดา เขาจึงต้องปล่อยแขนหล่อนให้เป็นอิสระ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นปม ก้มมองหนึ่งชีวิตที่ถือกำเนิดโดยที่เขาไม่รู้เรื่องมาก่อน
ได้ยินชัดเต็มสองหูที่เด็กตรงหน้าเรียกหล่อนว่าแม่ เต็มปากเต็มคำอีกทั้งร่างบางยังรีบผวาไปกอดหนูน้อยอีกต่างหาก มือหนากำเข้าหากันแน่น ไม่คิดมาก่อนว่าตนจะมีน้องชายที่อายุห่างกันขนาดนี้ ร้อนผ่าวทั่วศีรษะโกรธจนลมออกหูเป็นครั้งแรกแต่ก็ระงับอารมณ์เอาไว้เต็มที่
“ไฟ! แม่บอกให้รออยู่บ้านห้องไม่ใช่เหรอ ลงมาทำไม” รีบคว้าลูกชายให้มาหลบอยู่ด้านหลัง แต่หนูน้อยกลับโผล่มาจ้องหน้าคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แววตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง เหมือนเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางไหน
ทั้งที่ความจริงเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่ที่เด็กชายอนลไม่ชอบคนตรงหน้าก็เพราะอีกฝ่ายทำร้ายแม่ของตน
แม่เขาใครก็ห้ามแตะ!
“เด็กนี่เป็นลูกของเธอ...กับคุณพ่อเหรอ” ใจของหล่อนหล่นไปอยู่ตาตุ่มตอนที่เขาถาม กลัวว่าชายหนุ่มจะรู้ความจริงว่าอนลเป็นลูกของเรา
ถึงจะเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ เราทั้งสองต่างเกลียดกันไม่ได้รักใคร่ก็ตาม แต่เธอก็เลี้ยงดูเด็กน้อยมาด้วยความรัก
“หึหึ เก่งนี่...จับพ่อฉันได้อยู่หมัด คงหวังว่าหุบมรดกทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ถึงขนาดปล่อยให้ท้องเพื่อจะได้ยกระดับตัวเอง แต่รู้อะไรไหมกุลจิรา” ก้าวเท้าเข้ามาใกล้หล่อนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวนิ่งเงียบไม่โต้ตอบกลับมาสักคำ
เขามั่นใจในทันทีว่าเธอคงคิดหาคำปฏิเสธไม่ออก โดยไม่เฉลียวใจสักนิดว่าเด็กตรงหน้าอาจจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ราวกับต้องการผลักความผิดทั้งหมดให้ผู้ล่วงลับ โน้มใบหน้าหาเธอพร้อมกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูพอให้ได้ยินกันสองคน
“ผู้หญิงแบบเธอก็แค่โสเภณีข้างถนนเท่านั้นแหละ” วาจาเยาะเย้ยถากถางไม่เคยเปลี่ยน ตะกอนที่เคยนอนนิ่งอยู่ในใจถูกตีให้ขุ่นอีกครั้ง ตัดสินใจดึงบุตรชายมาไว้ด้านหลังไม่ให้มองภาพที่ตนกำลังจะกระทำกับร่างสูง
เพี๊ยะ!
ตบเขาจนอีกฝ่ายหน้าหัน มือของเธอยังคงหนักเช่นเดิม ตบเพียงครั้งเดียวหน้าเขาก็ชาไปครึ่งซีกจนแทบไร้ความรู้สึก พยายามไม่ใช้ความรุนแรงแต่ก็อดไม่ได้ทุกที ปากแบบนี้ไม่สมควรได้รับเกียรติจากใครทั้งนั้น
เมื่อเขาไม่ยอมลดละ เธอเองก็จะไม่นั่งหงอให้อีกฝ่ายดูถูก...
“ถ้าคุณยังไม่หยุดพูดจาดูถูกและไม่ให้เกียรติฉัน มรดกที่คุณหวงนักหนา...ฉันจะเอามาเป็นของตัวเองให้หมด” ประกาศกร้าวเล่นบทบาทแม่เลี้ยงตามที่เขาต้องการ สบตาเขาราวจะประกาศศึก ยิ่งทำให้พสุโมโหหนักกว่าเดิม
อยากเขย่าตัวหล่อนให้สาแก่ใจก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ต่อหน้าเด็ก เขารู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ แม้จะเกลียดคนเป็นแม่แค่ไหน ก็ไม่อยากเอามาลงที่เด็กซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
“ขึ้นบ้าน” จูงมือลูกชายขึ้นชั้นบน โดยที่หนูน้อยยังคงเหลียวหลังมามองคนแปลกหน้า พลางสะบัดหน้าหนีบ่งบอกว่าไม่ชอบอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“โธ่เว้ย!”
พสุทำได้แค่ตีอกชกลม โมโหครามครันที่หล่อนมีลูกกับบิดาของตนทั้งยังโตขนาดนี้ อกร้อนรุ่มจนรีบเดินมาหยิบน้ำเย็นดื่มเผื่อจะเย็นลงบ้าง ไม่รู้ทำไมเขาถึงโมโหได้ขนาดนี้ แต่อีกใจก็วูบโหวงอย่างน่าประหลาด
เธอคือแม่เลี้ยงของเขาอย่างเต็มตัวแล้วสินะ...
“ทำไมไม่มีใครบอกฉันว่าคุณพ่อมีลูกกับผู้หญิงคนนั้น” เดินเข้ามาถามแม่บ้านที่กำลังทำงาน อุตส่าห์บอกให้รายงานตลอดแต่เหตุใดจึงไม่มีใครบอกเรื่องนี้เลยสักคน หากทราบแต่แรกคงรีบบินกลับไทยแล้วบังคับให้เธอเอาเด็กออกแล้ว
ใครจะยอมมีน้องชายที่เกิดจากผู้หญิงที่ทำลายครอบครัวของตนกันล่ะ ไม่มีทางหรอก...
“คุณท่านสั่งไว้ไม่ให้บอกค่ะ” นึกโมโหบิดาที่ปิดบังหลายเรื่อง แต่กระนั้นก็ยังคิดถึงท่านจนน้ำตาคลอเบ้ายามคิดถึงความสุขในวันวาน
“ฉันมาไม่ทันดูใจคุณพ่อด้วยซ้ำ...” พูดจบก็สูดลมหายใจลึก
ถึงปากจะบอกว่าเกลียดและอยากให้ท่านเจ็บใจแค่ไหน แต่ก็ไม่ต้องการให้บิดาจากไปในที่แสนไกลเลยสักครั้ง
งานศพผ่านไปอย่างเรียบร้อย พสุกลับเข้ามาอาศัยในบ้านหลังงามและใช้ห้องเดิม อาจเพราะเหนื่อยจากการที่ต้องพูดคุยและต้อนรับแขกตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน จึงไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ขนาดเวลาจะให้เสียใจร้องไห้ยังไม่มีเลย
พอมาถึงวันนี้ที่ได้กลับเข้ามาภายในบ้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำมากมาย พบว่าบิดาที่เคยรออยู่บ้าน กลับมาเมื่อไหร่ก็เจอแต่วันนี้ท่านไม่อยู่กับเขาแล้ว หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยความคิดถึง และกรอบรูปซึ่งประดับไว้เตือนให้หวนถึงอดีตว่ามันดีมากแค่ไหนตอนเรามีกัน
ทว่าสิ่งที่ผ่านไปไม่อาจหวนกลับมาได้ เขาจึงเบือนหน้าหนีภาพครอบครัวสุขสันต์ที่ยังตั้งไว้เหมือนเดิม คุณภุชงค์ไม่ได้ให้คนเอาไปเก็บหรือเปลี่ยนภาพใหม่
“คุณภุชงค์ให้ผมเปิดพินัยกรรมทันทีที่จัดการงานศพเรียบร้อย พยานมีด้วยกันทั้งหมดสองคน ผู้เข้าฟังพินัยกรรมคือนายพสุ ณรงค์ฤทธิ์เดชาผู้เป็นบุตรชายและนางสาวกุลจิรา ฉายรวี...”
ทนายประจำตระกูลมาบ้านณรงค์ฤทธิ์เดชาแต่เช้า ทุกคนจึงมารวมตัวกันในห้องทำงานที่ค่อนข้างมิดชิด โดยเธอฝากลูกชายไว้กับแม่บ้านที่เต็มใจเล่นกับคุณหนูคนเล็กเป็นอย่างมาก
“รีบพูดเถอะครับ ให้มันจบเร็วๆ ผมจะได้รีบออกไปสักที” บอกด้วยความใจร้อน นึกหงุดหงิดเพราะอยากรู้ว่าสมบัติทั้งหมดท่านจะมอบให้ใคร ไม่อยากฟังเกริ่นที่แสนยาวน่ารำคาญทำให้เสียเวลาซะเปล่า
“ข้าพเจ้าทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้เพื่อแสดงว่าเมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลดังต่อไปนี้
“ทรัพย์สินของข้าพเจ้าอันได้แก่บ้านณรงค์ฤทธิ์เดชาพื้นที่ทั้งหมด 25 ไร่ หุ้นบริษัทฟรีซ โอเชี่ยน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) 64.12 เปอร์เซ็นต์ หุ้นโรงพยาบาลเอกชนรักษาชัย 12.66 เปอร์เซ็นต์ หุ้นโรงแรมโรส พาราไดซ์ โฮเทล 14.47 เปอร์เซ็น ที่ดินในภูเก็ต 50 ไร่ ที่ดินในจังหวัดขอนแก่น 75 ไร่ ที่ดินในจังหวัดกาญจนบุรี 80 ไร่ ที่ดินจังหวัดเชียงราย 29 ไร่ ที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ 33 ไร่...”
ทนายร่ายยาวถึงที่ดินจำนวนมากมายซึ่งมีเกือบทุกจังหวัด เขาฟังไปพลางแล้วเหลือบมองคนข้างกายที่ใส่ชุดไว้ทุกข์พร้อมทำหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ยินดียินร้าย ปากหยักยกยิ้มนึกสมเพชการแสดงของเธอที่เข้าขั้นปรมาจารย์
อยากได้สมบัติคนอื่นตัวแทบสั่นแต่ยังไว้ท่าที...น่ารังเกียจเสียจริง
“เงินสดในบัญชีของข้าพเจ้าจำนวนหกหมื่นสองพันสามร้อยยี่สามล้านบาท เครื่องเพชรและอัญมณีมูลค่ากว่าหนึ่งพันห้าร้อยสามสิบสามล้านบาท...”
“หึ ห้าปีที่ผ่านมาคุณพ่อคงให้เธอเยอะสินะ ถึงเหลือแค่นี้” ฟังจบก็อดกระแหนะกระแหนกุลจิราไม่ได้ หล่อนจึงรีบอธิบายเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ยอมให้เขาดูถูกฝ่ายเดียวเด็ดขาด
“ฉันไม่เคยรับของพวกนี้จากท่าน”
