๕ จนกว่าจะพอใจ (๒)
“จะบอกว่าท่านให้แต่เธอก็แสร้งทำเป็นคนดีไม่รับ เพราะหวังมรดกที่มากกว่าใช่ไหม” มือบางกำเข้าหากันแน่น อยากลุกไปตบปากเขาสักฉาดสองฉาดให้ฉลาดขึ้นมาบ้าง คุณท่านเคยพูดถึงพสุบ่อยครั้งว่าเมื่อก่อนนิสัยดีแค่ไหน
แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคน
“ช่วยฟังผมด้วยนะครับ” ทนายตุลย์ถึงกับกุมขมับเมื่อสองคนเริ่มสงครามน้ำลาย จึงต้องเรียกความสนใจกลับมาที่ตัวเอง ต้องการรีบทำงานให้หน้าที่ให้เสร็จโดยเร็ว
“ทรัพย์สินทั้งหมดที่กล่าวมา ยกให้นายพสุ ณรงค์ฤทธิ์เดชาและเด็กชายอนล ณรงค์ฤทธิ์เดชาคนล่ะครึ่ง...” พูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงของพสุแทรกขึ้น ร่างสูงลุกยืนอย่างรวดเร็วพลางสบถเสียงดังจนคนในห้องต่างสะดุ้งแล้วหันมองเขาเป็นตาเดียว
ดวงหน้าคมเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ไม่ยินยอมที่จะยกสมบัติอีกครึ่งให้เด็กที่ไม่รู้ประสา คนเป็นแม่ก็ช่างฉลาดเหลือเกิน เอาลูกมารับมรดกแทน ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม มองทุกสิ่งอย่างรกหูรกตาไปซะหมด
“บ้าอะไรเนี่ย! คุณพ่อทำพินัยกรรมอะไร จะยกทรัพย์สินให้เด็กอายุแค่นั้นเนี่ยนะ”
“ฟังก่อนครับ” คนที่อ่านพินัยกรรมถึงกับต้องปาดเหงื่อ เหนื่อยเหลือคณากับการบอกให้พสุใจเย็น และเชื่อว่าหากอ่านบรรทัดต่อไป คงได้มีคนเต้นเป็นเจ้าเข้าอย่างแน่นอน
“โดยระหว่างที่เด็กชายอนล ณรงค์ฤทธิ์เดชายังไม่บรรลุนิติภาวะ ขอตั้งให้นางสาวกุลจิรา ฉายรวีเป็นผู้ดูแลมรดกของเด็กชายอนล ณรงค์ฤทธิ์เดชา” มือหนากำหมัดแน่นไม่พูดอะไรเพราะรู้ดีว่าจุดจบต้องเป็นเช่นนี้
หล่อนดูแลมรดกให้ลูก ระหว่างนั้นก็ผลาญเงินเล่น...ใช้จ่ายอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของแม่เขา
“จบแล้วใช่ไหม ผมจะได้ออกไป...” เตรียมพร้อมจะเดินออกจากห้องทุกเมื่อ
เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมของบิดาได้ แต่เมื่อแบ่งกันคนละครึ่ง ทุกการใช้จ่ายก็ต้องเกิดจากความยินยอมของเขาเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มหมายจะให้หล่อนเป็นลูกไก่ในกำมือ จดจ้องเสี้ยวหน้าหวานด้วยแววตาหมายมาด
อย่าคิดว่าจะได้ทุกอย่างไปโดยง่าย เพราะตนจะขัดขวางทุกทางเพื่อให้กุลจิราพบกับความเจ็บปวดผิดหวัง
“ยังครับ คุณท่านยังเขียนไว้อีกเรื่อง”
ถึงกับต้องถอนหายใจแล้วนั่งลงอีกรอบ คงไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ดวงหน้าคมจึงเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายในการฟัง แต่ทว่าเมื่อทนายตุลย์พูดจบ ร่างสูงถึงกับผุดลุกแล้วโวยวายเสียงดัง
“ข้าพเจ้ามีความประสงค์ให้นายพสุ ณรงค์ฤทธิ์เดชาบุตรชายคนเดียวของข้าพเจ้าและนางสาวกุลจิรา ฉายรวีคนในความปกครองของข้าพเจ้า เข้าพิธีสมรสด้วยกันเพื่อให้ข้าพเจ้าจากไปอย่างสงบ”
“คุณพ่อบ้าไปแล้วแน่ๆ! เขียนพินัยกรรมให้เมียตัวเองแต่งงานกับผมเนี่ยนะ! ใครจะเอาขยะที่ทิ้งแล้วมาใช้ได้อีก”
หน้าแดงก่ำนึกโกรธคนที่จากไปแต่ยังทิ้งภาระเอาไว้ให้เขารับช่วงต่อ ไม่เข้าใจเลยสักนิดเหตุใดต้องให้ตนแต่งงานกับแม่เลี้ยง
ใครจะอยากได้ผู้หญิงชั่วร้ายคนนี้มาเป็นเมีย ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจความต้องการของบิดาเลยสักนิด
กุลจิรานิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ เจ็บกับคำกล่าวหาของเขาว่าเธอเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่ง พยายามหายใจเข้าออกระงับความโมโหที่ตีขึ้นมาเรื่อยๆ ยังเลือกจะนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นเพราะเชื่อว่าจะไม่มีงานแต่งเกิดขึ้นแน่
เราทั้งสองต่างเกลียดกัน...
แล้วจะให้เข้าพิธีวิวาห์ได้อย่างไร
“คุณท่านไม่ได้บังคับ เป็นแค่ความต้องการในวาระสุดท้ายของท่านครับ”
“ผมไม่แต่ง! หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่แต่ง แค่ทนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็สะอิดสะเอียนจะแย่แล้ว!” พูดจบก็รีบเดินออกจากห้อง ปล่อยให้เธอนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ขณะที่ทนายและผู้เป็นพยานอีกสองคนต่างมองหน้ากันเลิกลัก
คุณตุลย์จึงหันไปมองแล้วสั่งให้พยานทั้งสองออกไปข้างนอก เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อคุยธุระสำคัญกับหญิงสาวตรงหน้า
“คุณท่านสั่งอะไรไว้อีกไหมคะ”
“คุณท่านให้ผมทำพินัยกรรมอีกฉบับเพื่อมอบให้คุณกุลจิราโดยเฉพาะ รีสอร์ทและพื้นที่ขนาด 100 ไร่ เป็นของคุณกุลจิรากับลูกชาย...”
ซาบซึ้งน้ำใจมากเมื่อเห็นว่าท่านหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้ตน แต่ก็เกรงใจเกินกว่าจะรับไว้ได้ ตัดสินใจในตอนนั้นว่าจะไม่ขอรับ
“ยกให้คุณพสุเถอะค่ะ ฉันไม่ต้องการ”
“ไม่ได้ครับ นี่เป็นของที่คุณท่านมอบให้คุณและไม่อนุญาตมอบให้คนอื่น หากคุณไม่ต้องการก็ให้ขายทอดตลาดได้เลยครับ” เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองเอกสารเพื่อประกอบการตัดสินใจ
“งั้นเก็บไว้ก่อนได้ไหมคะ กุลคงไม่สะดวกเก็บไว้เอง”
บอกไปแบบนั้นเพื่อปฏิเสธรับมรดกมูลค่ามหาศาล เธอไม่อยากเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินอย่างที่พสุปรามาสเอาไว้ ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าหากหาเงินเก็บได้สักก้อนจะออกจากบ้านหลังนี้
จะได้ตัดขาดจากคนใจร้ายอย่างจริงจังสักที!
กลับมาเมืองไทยคราวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากพอสมควร ทั้งที่เขาไปเพียงห้าปีเท่านั้นแต่เพื่อนที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กกลับโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสียอีก หนึ่งในนั้นแต่งงานแล้ว หนึ่งในนั้นก็เพิ่งมีลูกและอีกหนึ่งคนยังโสดเป็นเพื่อนเขา
แม้นักธุรกิจทั้งหลายจะยุ่งกับงาน แต่พอพสุนัดรวมตัวก็เคลียร์คิวเพื่อมาหาเพื่อนอย่างพร้อมเพรียง ตบไหล่เป็นการทักทายแล้วสั่งอาหารมารับประทาน
“แม่มึงไม่ไปร่วมงานศพเลยเหรอวะ” เจอกันช่วงงานศพของคุณภุชงค์แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรมาก เพราะร่างสูงยุ่งกับการต้อนรับแขก
“มาร่วมได้ยังไง เจอหน้าเมียน้อยคงได้ความดันขึ้นน่ะสิ ยังดีที่ตอนนี้แม่มันมีคนดูแลแล้วแต่เหมือนยังไม่มีความสุขเท่าไหร่...”
เพื่อนอีกคนรีบสอดกลางปล้องทันทีแต่โดนสายตาของพสุสยบได้ทันจึงรีบปิดปากเงียบ
คุณนราวดีเปิดตัวคบเด็กหนุ่มหน้าตาดีเมื่อสามปีก่อน ทุกคนต่างอวยพรให้เจอรักที่ดีทั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ ล่าสุดที่เจอแม่ของเพื่อนสนิทเห็นว่าแววตาท่านดูอ่อนล้าพอสมควร ทว่าไม่กล้าบอกหรือพูดให้พสุฟัง
เหมือนว่าร่างสูงก็พอจะทราบว่าผู้ชายที่เป็นแฟนของแม่ไม่ค่อยจะดีกับท่านสักเท่าไหร่ เขาเคยเตือนบ้างแล้วแต่สุดท้ายก็ยังกลับไปคบกันอีก จึงเลือกไม่พูดเพราะอย่างไรก็เป็นความสุขของมารดา
หากไม่ใช่พ่อที่เป็นฝ่ายพาหญิงอื่นเข้าบ้าน แม่ของเขาก็ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจแบบนี้หรอก
“กูสงสารแม่ พ่อกูทำกับแม่ลงคอได้ยังไงวะ เอาเด็กคราวลูกมาทำเมียแล้วยังมีลูกด้วยกันอีก เด็กนั่นอายุแค่สี่ขวบห่างจากกูยี่สิบกว่าปี แม่งเอ๊ย!” จากที่จะมารับประทานอาหารอย่างเดียว กลับสั่งเครื่องดื่มมึนเมามาด้วย ทุกคนจึงต้องช่วยกันดูแลอีกฝ่ายเป็นพิเศษ
“ใจเย็น ดื่มเบาๆ หน่อย พรุ่งนี้ต้องไปบริษัทไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ กูต้องไปบริษัท ทวงทุกอย่างของกูกลับคืน” หมายมั่นเอาไว้ว่าอย่างไรก็ต้องขัดขวางกุลจิราให้ถึงที่สุด หล่อนจะไม่ได้ทรัพย์สมบัติของณรงค์ฤทธิ์เดชาแม้แต่อย่างเดียว เมื่อมาแค่ตัวก็ต้องออกไปแค่ตัว!
