บท
ตั้งค่า

๔ แยกจากไม่ตลอดไป (๓)

ถึงท่านจะฝากงานให้แล้ว...เธอก็คงต้องปฏิเสธและรีบออกจากบ้านณรงค์ฤทธิ์เดชาให้เร็วที่สุด!

“จะขอออกไปอยู่ข้างนอกเหรอ” ระหว่างรับประทานอาหารเช้า จึงใช้โอกาสนี้พูดกับคุณภุชงค์และขอบคุณท่านสำหรับการดูแลหล่อนอย่างดีเกือบสองเดือนเต็ม ที่พักแสนสบายกับอาหารครบสามมื้อ ความสะดวกทุกอย่างซึ่งตนไม่เคยได้รับ

แต่วันนี้คงต้องพอเพียงเท่านี้ เธอไม่อาจอยู่บ้านหลังงามได้อีกต่อไปแล้ว

“ค่ะ คุณท่านบอกจะส่งเสียหนูเรียนจนจบ ตอนนี้หนูก็จบแล้วเลยไม่อยากรบกวนคุณท่าน อีกอย่างถ้าคนที่บริษัทรู้ว่าหนูอยู่บ้านเดียวกับท่านประธาน...ไม่น่าจะดี” ใช้ข้ออ้างเรื่องงานมาขอย้ายออก และอีกไม่นานเธอก็คงจะลาออกจากงานเช่นเดียวกัน

ต้องการหนีหายจากครอบครัวนี้ ยิ่งห่างได้เท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการดีกับตัวเองและลูกที่กำลังจะเติบใหญ่ ข่าวการหย่าร้างของคุณภุชงค์และคุณนราวดีล่วงรู้โดยทั่ว ทุกคนต่างพูดว่าหล่อนคือเมียน้อยผู้สร้างความร้าวฉาน

แล้วหากลูกเกิดมา...คงทุกข์ระทมเพราะคิดว่าท่านคือบิดา

โดยมีแม่เป็นเมียน้อย ทั้งที่ความจริงไม่ใกล้เคียงเลย

“เหตุผลมีแค่นั้นจริงเหรอ” ถามเสียงเรียบแต่ทำเอาร่างบางถึงกับหน้าซีด ก้มหน้าไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายแล้วตอบเสียงเบา

“ค่ะ”

“ไม่ใช่เพราะหนูท้องลูกของเจ้าพสุใช่ไหม” รีบเงยหน้าพลันเบิกตากว้างไม่คิดว่าท่านจะทราบเรื่องนี้ทั้งที่ตนไม่ได้บอกใครเลยสักคน เก็บงำเอาไว้มาตลอดแล้วอีกฝ่ายทราบได้อย่างไร ความสงสัยถาโถมจนได้แต่จดจ้องคนอายุมากกว่า

“คุณท่าน!”

“แม่บ้านไปเก็บขยะในห้องของหนูเลยเจอที่ตรวจครรภ์ แล้วก่อนที่ฉันจะส่งลูกไปเรียนต่อก็รู้เรื่องหมดแล้ว ฉันต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยที่ทำกับหนูแบบนั้น” เป็นความสะเพร่าของหล่อนนั่นเอง ทำให้เรื่องที่ควรปิดเงียบล่วงรู้กันหมดแล้ว

เธอน้ำตาคลอก่อนจะปล่อยให้มันไหลอาบแก้มอย่างกลั้นไม่อยู่ โกรธทุกอย่างที่ทำให้ชะตาชีวิตของหล่อนพลิกผันตลอดเวลา ทั้งที่กำลังจะไปได้ดีแต่กลับโดนรั้งเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องจมปลักอยู่ที่เดิม หล่อนต้องเป็นลูกชังของสวรรค์แน่ ถึงให้บททดสอบที่มีแต่ความทุกข์ระทมตลอดมา

“ฮือ” น้ำตาไหลเป็นสายจนท่านสงสารจึงยื่นกระดาษทิชชู่ให้หล่อนเช็ดหน้า

“ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่ที่นี่แหละ ฉันจะได้คอยดูแลหลาน...” ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายตัวดีจะไข่ทิ้งเอาไว้หลังจากทำร้ายหญิงสาวบริสุทธิ์คนหนึ่งอย่างเลือดเย็น คิดแล้วก็นึกโกรธพสุแต่ก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่บอกความจริงตั้งแต่แรก

ทำให้บุตรชายหลงเชื่อไปแบบนั้นจนมาลงกับกุลจิรา...

“เธอออกไปอยู่ตัวคนเดียวก็ลำบากเปล่าๆ อยู่ที่นี่สะดวกสบายกว่าตั้งเยอะ เรื่องมันเกิดแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ หนูควรเรียกร้องสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับมาสิ เสียไปเท่าไหร่ก็เอาคืนกลับมาให้มากเท่านั้น อย่ายอมไปซะทั้งหมด” สอนเธอไปในตัวให้กอบโกยสมบัติของลูกชายท่าน จนร่างบางเผลอหลุดยิ้มกับคำกล่าวนั้น

“ค่ะคุณท่าน”

“ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้ลูกสะใภ้โดยไม่ตั้งใจ” พึมพำเสียงเบาแล้วมองคนที่กำลังซับน้ำตา อยากได้คนตรงหน้าเป็นสะใภ้แต่ก็ไม่คิดว่าจะด้วยวิธีเช่นนี้

พสุคิดแก้แค้นอย่างไรจึงออกมาเป็นวิธีนี้ได้...ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะแค้นอย่างเดียวหรอก

ท่านคิดพลางยกยิ้มเมื่อล่วงรู้ถึงหัวใจของลูกชายปากแข็ง

“ไม่ใช่นะคะ” ส่ายหน้าแล้วปฏิเสธตาโต แก้มแดงปลั่งเมื่อคิดว่าตนเองกลายเป็นสะใภ้ของบ้านณรงค์ฤทธิ์เดชา เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นสักหน่อย

“ใช่สิ เธอท้องลูกของเจ้าพสุ ยังไงก็ต้องเป็นสะใภ้บ้านณรงค์ฤทธิ์เดชา จะไม่มีคนอื่น...” บอกย้ำชัดถึงความจริงข้อนี้ และท่านก็คิดออกว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ความรักของคนทั้งคู่สมหวัง ความจริงที่ปิดไว้นานความบอกกล่าวให้พสุได้ทราบสักที

3 ปีต่อมา

ระยะเวลาเหมือนยาวนานแต่เพียงพริบตาก็ผ่านไปรวดเร็ว เด็กน้อยที่อยู่ในท้องของมารดาได้ลืมตาออกมาดูโลก เติบใหญ่ขึ้นทุกวันโดยการเลี้ยงดูของคุณปู่ซึ่งหลานชายสุดที่เรียกรักว่าดาดา ซึ่งความจริงจะเรียกว่าคุณปู่เป็นภาษาอังกฤษแต่ยังออกเสียงไม่ชัด ซึ่งเรียกแบบนี้ก็ไม่เสียหาย

เด็กชายอนล ณรงค์ฤทธิ์เดชากลายเป็นศูนย์รวมความสุขของคนทั้งบ้าน ทุกคนต่างยกให้คุณหนูเล็กคือแก้วตาดวงใจ ช่างออดอ้อนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ดวงตากลมโตเหมือนมารดาไม่มีผิด เพียงแค่จ้องนิ่งๆ ก็ทำให้คนอื่นใจละลายได้แล้ว

“ดาดา กิงจุ้ง” ถือจานกุ้งเผามาที่ห้องรับแขกซึ่งคุณภุชงค์กำลังนั่งอ่านหนังสือไปพลาง ช่วงนี้ร่างกายท่านอ่อนแอลงมาก ไม่สบายก็บ่อยเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แต่ก็ปิดข่าวเอาไว้ไม่อยากให้ลูกชายเป็นห่วง

หลังเรียนจบปริญญาโทก็ให้พสุทำงานที่ต่างประเทศเพื่อขยายสาขากิจการ เขาจึงไม่ได้กลับไทยมาพบบุตรชายที่โตขึ้นทุกวัน

คนในบ้านเริ่มดีกับกุลจิราแต่ก็ไม่ทราบว่าพ่อแท้จริงของคุณหนูคนเล็กคือพสุ ยังนึกสงสัยเหตุใดคุณท่านจึงแทนตัวเองว่าปู่ไม่ใช่พ่อ รู้ดีว่าถึงถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบ ถึงได้พากันเงียบไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

“แค่กๆ เดี๋ยวปู่แกะให้นะ” วางหนังสือแล้วหยิบจานกุ้งมาแกะให้หลานชาย อุ้มหนูน้อยมานั่งบนตักพลางผินหน้าหลบเพื่อไอ แกะกุ้งเรียบร้อยก็ยื่นให้อนล มือน้อยหยิบกุ้งมาถือไว้แล้วจับเข้าปากพลางเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“หร่อย” แววตามีความสุขจนคนมองก็สุขไปด้วย

“เด็กดีของปู่”

“แค่กๆ” ไอจนตัวโยนทำให้หลานที่นั่งบนตักรีบโอบกอดคุณปู่เอาไว้ พลางจ้องด้วยสีหน้าเหงาหงอย

“ไม่ไอ ไม่ไอ”

“ไม่ไอแล้วลูก ปู่ไม่ไอแล้ว...อยากกินอีกไหมเดี๋ยวปู่แกะให้อีก” เปลี่ยนเรื่องรวดเร็วไม่อยากให้หลานเป็นห่วง ช่วงนี้ลุยงานหนักไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่ ไม่สบายและป่วยบ่อยจนน่าหนักใจ เข้าโรงพยาบาลทีก็นอนหลายคืน

ถึงเวลาจะผ่านมากว่าสามปี แต่คุณภุชงค์ก็ยังไม่ลืมภรรยาผู้เป็นที่รัก คิดถึงและห่วงหาแม้อีกฝ่ายจะทำกับตนไว้เจ็บแสบก็ตาม กลายเป็นความตรอมตรมทางใจจนอาการป่วยก็ทรุดลงหนักกว่าเดิม กุลจิราไม่รู้จะทำอย่างไรให้ท่านดีขึ้น

หากจะตามพสุกลับมาก็เกรงว่าจะซ้ำเติมบิดามากกว่าเดิม จึงต้องให้อนลคอยเยียวยาคุณปู่ไปพลาง เพราะเด็กน้อยทำให้ท่านยิ้มบ่อยขึ้น

“แกะอีก” กุ้งหมดไปหลายตัวโดยที่หนูน้อยจัดการเรียบ คุณภุชงค์เห็นอย่างนั้นก็มีความสุข แกะให้หลานชายไม่หยุดจนร่างบางที่เสร็จจากงานต้องเดินเข้ามาบอกด้วยความเกรงใจ

“คุณท่านคะ ขึ้นไปพักผ่อนเถอะนะคะ เดี๋ยวหนูจะดูแลไฟเอง”

“ไม่เป็นไร ฉันดูแลหลานได้ หนูไปทำงานของตัวเองเถอะ อยู่กับหลานฉันมีความสุข” ท่านพูดอย่างนี้แล้วหล่อนจะขัดได้เช่นไร จำต้องพยักหน้ารับคำ ค่อยปลีกตัวออกไปข้างนอก ปล่อยปู่กับหลานอยู่ด้วยกันสองคน

“ค่ะ”

“จุ้งอีก” หยิบกุ้งที่ไม่แกะไปตรงหน้าคนอายุมาก ท่านก็หัวเราะร่วนแล้วแกะกุ้งมือเป็นระวิง จากนั้นจึงได้พากันมาดูปลาที่สระน้ำของบ้าน เล่นอยู่เป็นนานสองนานถึงได้เข้าบ้านพักผ่อน

ความสุขที่แสนสงบเหมือนว่าท่านไม่ต้องห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel