๓ ตุ๊กตาอารมณ์ (๒)
ทุกวันมักจะนัดกับเพื่อนเพื่อดื่มสังสรรค์ แต่ส่วนมากจะเป็นการปรับทุกข์เกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง หลังเรียนจบปริญญาตรีก็มีเพียงพสุที่ไปต่อปริญญาโทยังมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ส่วนเพื่อนในกลุ่มอีกสามคนก็สานต่อธุรกิจครอบครัว
นานทีจะเจอกันสักครั้ง ทว่าตั้งแต่ชายหนุ่มมีปัญหาครอบครัวก็เจอกันทุกวัน ข่าวนี้ยังไม่กระจายเป็นวงกว้างแต่พอมีคนพูดคุยบ้างแล้วถึงความเหินห่างของสามีภรรยาครอบครัวตัวอย่าง เห็นความผิดปกติบางประการซึ่งไม่มีใครกล้าถามเจ้าตัว
เพื่อนของพสุก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร พวกเขาคบกันมานานพอจะรู้นิสัยใจคอ เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้ก็ไม่ผิดนัก เมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตนเองถึงรับรู้มาก็ควรเงียบเอาไว้ ให้เจ้าตัวเป็นคนพูดดีกว่า เวลาใครมาถามพวกเขาจึงบอกปัดว่าไม่ทราบ
ทำให้ชายหนุ่มสบายใจในการคบหากับเพื่อนทั้งสามเป็นอย่างมาก
“มึงใจเย็นสิวะ ดื่มอะไรเยอะขนาดนั้น” รามิล ชนะวรรณเป็นคนเอ่ย แต่ก็ไม่กล้าแย่งแก้วสีอำพันออกจากมือหนา ทำเพียงห้ามปรามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเท่านั้น
เขาเป็นลูกชายเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าดังในประเทศ อีกทั้งเพิ่งทำธุรกิจสตาร์ทอัพของตัวเอง กำลังก่อร่างสร้างตัวไม่ค่อยจะได้มาร่วมวงสนทนากับเพื่อนบ่อยนัก แต่ก็พยายามปลีกตัวมาอยู่เป็นเพื่อนคนมีปัญหาหนักอก
“แล้วจะกลับไปเรียนเมื่อไหร่ อีกไม่กี่เดือนก็จบแล้ว มึงไม่รีบกลับไปเรียนวะ เสียดายเงินค่าเรียน” ชิตวร กัณฐพันธ์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด นึกเป็นห่วงการเรียนของคนตรงหน้า อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแต่กลับทิ้งการเรียนมาสำมะเลเทเมา คิดแล้วก็หนักใจเป็นอย่างยิ่ง
ครอบครัวของเขาทำธุรกิจจิวเวลรี่ส่งออกเครื่องเพชรมูลค่ามหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าประจำคือตระกูลณรงค์ฤทธิ์เดชา โดยเฉพาะคุณนราวดีที่เข้ามาอุดหนุนเป็นว่าเล่น
“ไม่ใช่เงินกูสักหน่อย สนทำไม” ตอบอย่างไม่แยแส
“อ่ะๆ ไม่ใช่เงินมึง แต่เมียน้อยพ่อมึงอายุน้อยกว่ามึงจริงเหรอวะ” แค่ฟังก็ต้องถอนหายใจเหนื่อยหน่าย มุมปากยกยิ้มคล้ายจะเย้ยหยันเมื่อคิดถึงคำบอกเล่าของบิดา ซึ่งเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
“หึ พ่อบอกเอามาเป็นน้องสาวกู ใครอยากมีน้องสาววะ”
“พ่อมึงก็ช่างคิด พอบอกว่าเอามาเป็นน้องสาวมึงก็ดูดีขึ้นมาทันที ทั้งที่ทุกคนก็ดูออกว่าเลี้ยงเอาไว้กินเอง” วินธัย ลัทธพรรณ เจ้าของกินการร้านอาหารกว่าสิบห้าสาขาทั่วประเทศ ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นและตอนนี้เขาก็กำลังสืบทอดกิจการ ไม่ค่อยมีเวลาว่างเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังสละเวลามานั่งปลอบเพื่อนเสมอ
แน่นอนว่าทุกคนรู้ความเป็นไปของตระกูลณรงค์ฤทธิ์เดชาเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่เคยพูดออกไปให้ผู้อื่นทราบ เก็บเป็นความลับอย่างที่เพื่อนสนิทต้องการ
“ดื่มๆ” พสุคล้ายจะไม่อยากพูดเรื่องของตนอีก จึงยกแก้วขึ้นชวนคนที่เหลือดื่ม ไม่มีใครกล้าขัดจึงได้ดื่มเป็นเพื่อนอยู่นานสองนาน
กระทั่งถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้าน ร่างหนาก็โบกแท็กซี่แล้วให้ไปส่งที่บ้านของตน นั่งเมาหลับอยู่หลังรถพร้อมอาการคล้ายอยากอาเจียนตลอดเวลา เล่นเอาคนขับถึงกับตะโกนร้องเสียงหลงกลัวว่าลูกค้าจะปล่อยของเสียเปื้อนรถ
“อย่าอ้วกนะคุณ”
โชคดีที่ขับถึงบ้านหลังงามเสียก่อน และคนเมาก็ไม่ได้อาเจียนแต่อย่างใด กลับหยิบใบสีเทาจ่ายอย่างไม่แยแส ดวงตาปิดแทบจะลืมไม่ขึ้นแต่ก็ฝืนตัวเองเบิกตากว้าง
“เอาไป ไม่ต้องทอน”
เดินเข้ามาในบ้านโดยมีแม่บ้านคอยต้อนรับทุกวัน ร่างหนาก้าวไปยังห้องน้ำชั้นล่างแล้วอาเจียนจนอ่อนแรง นั่งกอดโถส้วมอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ค่อยลุกไปบ้วนปากและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น มองตัวเองในกระจกเห็นเค้าความทรุดโทรมของใบหน้า
ผ่านมานานแค่ไหนแล้วที่เขาปล่อยตัวและกลายเป็นคนไม่แยแสต่อความรู้สึกของคนอื่น...
ตั้งแต่บุพการีหย่าขาดจากกันก็เกือบสองสัปดาห์ ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โลกของเขาพังทลายลงแล้ว
“อึก”
แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งเสวยสุขอยู่ในห้อง ทำหน้าซื่อตาใสไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง แล้วยังยัดเยียดสถานะน้องสาวมาให้เขาอีก น่าขยะแขยงสิ้นดี...
“ไปหาน้องสาวหน่อยดีกว่า” แต่กระนั้นชายหนุ่มก็เลือกเปลี่ยนทิศทางการเดิน จากห้องของตัวเองไปหยุดที่หน้าของหญิงสาว เห็นแสงไฟลอดออกมาคงยังไม่นอน หรือกำลังปรนเปรอบิดาของเขาทั้งคืน แค่คิดก็หัวร้อนไปหมด จึงทุบประตูแต่ไม่ได้ส่งเสียงเรียกเหมือนทุกคราว
ปึ้งๆๆๆ
หลังจากได้อาเจียนและล้างหน้าล้างตา เหมือนว่าเขาจะสร่างเมาและดีขึ้นมาก เขาเกลียดผู้หญิงคนนี้จนอยากผลักเธอลงนรก จะมีอะไรช่วยให้หล่อนรับรู้ถึงการตกนรกทั้งเป็นได้หรือเปล่า แล้วสิ่งใดจะทำให้พ่อของเขาเจ็บบ้าง...
รู้สึกเหมือนที่แม่ของเขารู้สึกตอนโดนหักหลัง...
เดี๋ยวนะ...หักหลังอย่างนั้นหรือ
มุมปากหยักยกยิ้มเมื่อคิดแผนการบางอย่างได้ เขาจะทุกข์อยู่คนเดียวทำไมล่ะ เมื่อสามารถทำให้คนต้นเรื่องทุกข์ได้เช่นเดียวกัน มือหนายกขึ้นกอดอก รอจนได้ยินเสียงเปิดประตูไม่เหมือนทุกครั้งที่ปิดสนิท สงสัยหล่อนคงไม่รู้ว่าคนที่มาเคาะคือเขา
“ค่ะ” ทักทายมาแต่ไกล ทว่าเมื่อเปิดไม้บานหนาแล้วพบว่าคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังประตูคือใคร หล่อนก็เผลอตะโกนเรียกเขาเสียงดัง แล้วรีบดันประตูหมายจะปิดแต่ก็ช้าเกินไปแล้ว
“คุณพสุ!”
“ทำไม คิดว่าเป็นพ่อฉันเหรอ” ร่างสูงก้าวเข้ามาในห้องนอนของกุลจิราด้วยท่าทีคุกคาม ปิดประตูแล้วลงกลอนรวดเร็ว สร้างความตระหนกแก่เธอเป็นอย่างมากจนเผลอก้าวถอยหลังทุกครั้งที่เขาเดินเข้าหา แววตาและสีหน้าของชายหนุ่มน่ากลัวเกินไป
เขาไม่ได้ด่าทอหรือใช้คำรุนแรง แต่การกระทำของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงลางร้ายบางอย่าง หรือหล่อนครัวจะวิ่งหนีไปหลบในห้องน้ำ แอบเหลือบมองห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล แต่เขาก็อยู่ใกล้กว่า
ถ้าตนเริ่มวิ่งต้องถูกคนตรงหน้าคว้าได้ทันแน่...
“คุณออกไป เข้ามาทำไม ออกไปจากห้องของฉัน บอกให้ออกไปไง” พยายามไล่ให้เขาออกห่าง แต่ไม่มีทีท่าว่าพสุจะสลดหรือยอมทำตามสักนิด กลับก้าวเข้ามาใกล้จนบั้นท้ายงามติดเก้าอี้ หมดทางหนีทีไล่แล้ว
“ร้องดังอีกสิ ให้คนทั้งบ้านตื่นมาเห็นเลยว่าเธอได้ทั้งพ่อทั้งลูก” คำพูดของเขาทำเอาเธอหน้าถอดสี ดวงหน้าคมโน้มมาตรงหน้าจนได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง พยายามเบี่ยงหน้าหลบแล้วผลักอกหนาให้ออกห่างจากตน
“พูดบ้าอะไรของคุณ ฉันไปได้ตอนไหน เมาก็ไปนอนอย่าเที่ยวหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว”
“ชุดนอนของเธอ เอาไว้ให้พ่อฉันถอดเหรอ...ช่วยไหมล่ะ” มองชุดนอนของหล่อนที่เป็นเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเพื่อความสบาย อีกทั้งไม่มีชั้นในสักชิ้นเพราะอย่างไรตนก็อยู่คนเดียว และสวมเพียงเสื้อกับกางเกงค่อนข้างสบายตัว
แต่ตอนนี้กุลจิรารู้แล้วว่ามันอันตรายเกินไป!