๒ ข่มเหงเอาแต่ใจ (๓)
ก่อนที่พสุจะกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายโมโหง่าย ลูกของท่านเคยอบอุ่นอ่อนโยนมาก่อน ไม่แน่ว่าหากพบกันอาจเกิดเป็นความรักก็ได้
แต่พอมาเจอตอนนี้...ไม่หาเรื่องกันได้ก็นับว่าดีแล้ว
“กู้กยศ.แล้วก็ทำงานพิเศษค่ะ จะขอทุนก็ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น...” ตอบตามความจริงแล้วยิ้มขมขื่น
เมื่อก่อนครอบครัวอยู่พร้อมหน้า ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มีกินมีใช้ มารดาทำงานบ้านส่วนบิดาทำงานบริษัท ทว่าหลังจากแม่เธอประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต พ่อก็ต้องรับผิดชอบทั้งงานข้างนอกและงานในบ้าน เกิดเป็นความเครียดต้องพึ่งน้ำเมา เงินก็หมดลงทุกวันกลายเป็นเธอที่ต้องหางานส่งเสียตัวเองเรียนตั้งแต่ยังอยู่มัธยม
ปากกัดตีนถีบกว่าจะมีทุกวันนี้ หวังเพียงว่าลังเรียนจบจะได้งานที่ดีและมีหน้าตาในสังคมบ้าง แต่เรื่องก็ไม่ง่ายเลยสักนิด...
“ฉันถูกชะตากับหนู” อยู่ดีๆ คุณภุชงค์ก็พูดขึ้นกลางปล้อง สร้างความวิตกแก่คนฟังจนเผลอขยับออกห่าง ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด จนคนอายุมากกว่าต้องอธิบายความหมายประโยคนั้นให้เข้าใจ
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้คิดกับหนูเกินเลย แค่เห็นว่าหนูเป็นคนรักการเรียนแล้วก็ใฝ่หาความรู้ ขยันทำงานไม่งอมืองอเท้า ฉันจะส่งเสียหนูเรียนจนจบแล้วให้งานทำ” จากที่เคยใช้ชีวิตยากลำบาก แต่แล้วกลับมีคนยื่นโอกาสมาให้หล่อน
ทั้งผู้ชายคนนั้นยังเป็นคนที่ตนทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกอีกต่างหาก...มีแผนการใดซ่อนไว้หรือไม่
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่ามาทำดีกับเธอเลย
“ทำไมถึงช่วยหนูคะ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
“แค่อยากไถ่โทษกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น” บอกด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า พยายามไม่กลับไปคิดเรื่องนี้แต่ก็ไม่อาจทำได้ ความจริงกลายเป็นแผลใหญ่ที่ทำลายท่านอยู่ทุกวัน คนบงการอยู่เบื้องหลังคือภรรยาที่เขารักและซื่อสัตย์กับเธอมาตลอด
แต่ก็ไม่อาจบอกใครอื่นได้ ทำเพียงเก็บงำเอาไว้ในใจและฝังกลบทุกอย่างให้เป็นเพียงอดีต
“คุณรู้ตัวคนทำแล้วเหรอคะ” ตื่นเต้นทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังจะหลุดพ้น ท่านพยักหน้าแล้วบอกใบ้แต่ไม่ยอมเฉลยว่าเป็นใคร
“ใช่...คนใกล้ตัวจนฉันไม่อยากเชื่อเลยล่ะว่าเขาจะทำกับฉันได้ลงคอ”
“ตอนนี้อยู่บ้านฉันไปก่อนแล้วกัน คนพวกนั้นคงตามหาหนูกันให้ทั่ว อยู่คนเดียวคงไม่ปลอดภัย...ส่วนเรื่องเรียนฉันจะให้คนไปเฝ้าหน้าตึก ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกทำร้าย” สรุปใจความทั้งหมดโดยไม่ถามเธอสักคำ เอ่ยอาสาเป็นผู้ดูแลกุลจิราแม้หล่อนจะยังไม่รับปาก ทว่าเธอกลับอุ่นใจอย่างน่าประหลาดเมื่อจ้องเข้าไปในแววตาของท่านที่มีแต่ความเอื้ออาทร
“ต่อไปนี้หนูจะเป็นเหมือนลูกสาวอีกคนของฉัน” คำว่าลูกสาวยิ่งทำให้หล่อนบ่อน้ำตาแตก ร้องไห้อย่างไม่อายแล้วยกมือขึ้นไหว้คนอายุมากกว่า
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ” มันอาจจะง่ายไปที่ยอมเชื่อคนตรงหน้า แต่ชีวิตของเธอมันตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว จะเป็นอะไรหากต้องการความปลอดภัยให้ตัวเองบ้าง
เมื่อเรื่องของตนกับชายตรงหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด เบื้องหลังทั้งหมดท่านก็ทราบแล้ว ทำไมเธอจะต้องกังวลด้วยล่ะ ขออยู่บ้านนี้เพื่อได้รับความคุ้มครองดีกว่า จะได้ไม่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหรือใช้ชีวิตหวาดระแวงอีกต่อไป
“นี่มันหมายความว่ายังไง คุณพ่อเอาเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านได้ยังไง!”
แต่หล่อนลืมไปว่ามีตัวปัญหาหนึ่งคนที่ไม่ยอมรับเรื่องทั้งหมด นั่นคือลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านณรงค์ฤทธิ์เดชา กุลจิราอยากถามว่าเมื่อท่านรู้เบื้องหลังคนทำ เหตุใดจึงไม่บอกลูกชายแต่ก็ยังไม่มีโอกาสถาม เพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือผู้วางแผนทั้งหมด
แล้วคุณผู้หญิงหายไปไหน...
หรือท่านทั้งสองหย่าขาดจากกันแล้ว หล่อนนึกสับสนจนทำได้เพียงนั่งเงียบไม่พูดจา ระหว่างนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นสบคนตรงหน้า
คืนนี้ได้รับอนุญาตให้นอนห้องรับแขกของบ้าน ทั้งยังบอกให้คนไปขนของเธอมาไว้ในห้องอีกต่างหาก ต่อไปนี้หญิงสาวกลายเป็นคุณหนูอีกคนของบ้านณรงค์ฤทธิ์เดชาอย่างกะทันหัน
“เธอไม่ใช่เมียน้อย พ่อให้กุลมาอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวของลูก” พสุได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะราวคนบ้าก่อนชี้ไปที่ร่างแบบบางซึ่งนั่งก้มหน้างุด
“น้องสาว! ผมไปมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อกะจะเลี้ยงเพื่อเอาเป็นเมียตัวเองมากกว่า”
“มากไปแล้วนะพสุ พ่อไม่เคยคิดแบบนั้นและไม่มีวันจะทำแบบนั้นเด็ดขาด หนูกุลคือน้องสาวของลูกและจะอยู่บ้านหลังนี้ คำสั่งของพ่อใครก็ขัดไม่ได้” เมื่อลูกชายไม่ยอมฟังเหตุผลก็ใช้ไม้แข็ง โดยที่ท่านไม่รู้เลยว่าสร้างบาดแผลให้พสุมากแค่ไหน
เขาโมโหจนต้องหาที่ลง ซึ่งคนที่รับกรรมเป็นใครไม่ได้นอกกุลจิรา เธอนั่งนิ่งแต่กลับโดนน้ำซุปราดหัวจนสะดุ้งโหยง
“ว้าย!” ถึงกับรีบเช็ดตามเสื้อผ้าที่เปียกไปด้วยกลิ่นน้ำซุป คราวก่อนก็น้ำล้างพื้น คราวนี้ยังมาน้ำซุปอีก เขาเห็นเธอเป็นอะไรถึงได้ขยันหาเรื่องกันนักหนา อยากโต้กลับสักครั้งแต่รู้ว่าไม่ควรจึงทำเพียงกำมือแน่นสงบอารมณ์
“งั้นก็ลองดูว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง” วางถ้วยไว้ที่โต๊ะแล้วเดินหายออกจากบ้าน พร้อมเสียงรถที่ดังลั่นให้รู้ว่าเขาพร้อมจะออกไปก่อเรื่อง ประมุขของบ้านทำได้เพียงทอดถอนใจเหนื่อยหน่าย ไม่รู้จะทำเช่นไรกับบุตรชายที่ดื้อเพ่ง
บอกอะไรก็ไม่เชื่อจนใจจะเอ่ย...
“รีบไปล้างตัวเปลี่ยนชุดเถอะ” บอกคนที่นั่งนิ่งน้ำตาคลอเบ้า หล่อนจึงรับคำก่อนเดินขึ้นบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ค่ะ”
นึกผูกใจเจ็บกับชายผู้นั้นอยู่ลึกๆ ถึงวันของหล่อนเมื่อไหร่จะสาดกลับเป็นลิตรเลยคอยดูสิ!
การมาอยู่บ้านณรงค์ฤทธิ์เดชาของหล่อนไม่ได้อยู่เฉยๆ กลับช่วยงานบ้านแทบทุกอย่างยามว่าง ถึงจะโดนกลั่นแกล้งจากแม่บ้านและพูดจากระทบกระทั่งทุกครั้งก็พยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ขอเพียงมีที่ซุกหัวนอนและอาหารครบสามมื้อก็เพียงพอแล้ว
อีกอย่างไม่ต้องวิ่งหนีเจ้าหนี้อีกต่อไป เรื่องอื่นที่พอทนได้ก็ทนไปก่อน ไม่ถือว่าเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอก
เธอช่วยงานของคุณภุชงค์ในเรื่องที่พอจะช่วยได้ อย่างค่าใช้จ่ายในบ้านที่ตนเป็นคนออกไปจ่ายตลาดเอง ซื้อครบบ้างไม่ครบบ้างก็ถูกดุด่าร่ำไป แม่บ้านไม่มีความเกรงใจและกดหล่อนให้ต่ำเสมอ
“ทำบัญชีเป็นด้วยเหรอ” ยื่นค่าใช้จ่ายประจำวันและอาหารที่ไปซื้อในแต่ละวันให้ท่าน ความเป็นระเบียบอ่านง่ายสร้างความสงสัยแก่ท่าน จึงได้ถามแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่กลายเป็นลูกสาวอีกคน
“เป็นค่ะ เคยทำงานเสิร์ฟแล้วพี่ที่เป็นนักบัญชีเขาสอน เลยพอจะรู้เรื่องบ้าง” ยิ้มกริ่มขณะตอบด้วยแววตาภูมิใจในตัวเอง หล่อนชอบที่จะขวนขวายหาความรู้ตลอดเวลา ชอบที่จะเรียนและตั้งใจฟังคนสอนเป็นอย่างมาก
ผลลัพธ์ที่ได้ก็ค่อนข้างคุ้มค่าพอสมควร หล่อนจึงภูมิใจนำเสนอต่อคุณท่านที่เมตตาตนเอง
จากคนไม่รู้ก็กลายเป็นได้ช่วยเหลือ และอีกไม่นานคงเป็นคนในครอบครัว ท่านคือผู้ใหญ่ที่เธอให้ความเคารพหมดหัวใจ
“งั้นต่อจากนี้ฉันจะให้หนูรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน ทำมารายงานฉันทุกเดือน” พอได้ยินดังนั้นก็อึกอัก เกรงว่าแม่บ้านซึ่งทำหน้าที่นี้อยู่ก่อนหน้าจะเขม่นหล่อนมากกว่าเดิม แต่คำสั่งของประมุขถือเป็นสิทธิ์ขาด จึงไม่อาจต่อรองได้
“เอ่อ จะดีเหรอคะ”
“เอาตามนี้แหละ”
สุดท้ายเธอก็ต้องกลายเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายไปโดยปริยาย ยิ่งสร้างความไม่ชอบใจให้คนในบ้านมากกว่าเดิม และนำเรื่องนี้ไปบอกพสุที่ยังคงปักหลักอยู่เมืองไทย ไม่ยอมกลับไปร่ำเรียนปริญญาโทให้จบสักที
เขาจึงโกรธบิดามากกว่าเดิม หวังหาเรื่องหญิงสาวเต็มที่ ไม่สนใจว่าหล่อนจะเป็นหญิงสาวตัวน้อยแสนบอบบาง ใครที่เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวเขาแตกแยก คนผู้นั้นจะต้องไม่ได้อยู่อย่างมีความสุข
ยามว่างจากเรียนก็มาช่วยคุณภุชงค์จัดเอกสาร เธอเก่งในงานด้านนี้สอนไม่กี่ครั้งก็รู้เรื่อง ท่านจึงหมายมั่นว่าหากกุลจิราเรียนจบ จะฝากฝังให้เข้าทำงานที่บริษัทของตน แต่คงต้องดูว่าตำแหน่งไหนว่าง ถือจานผลไม้ที่ปอกอย่างดีเพื่อนำเข้าไปให้คุณภุชงค์ในห้องทำงาน แต่แลกจังหวะที่เดินผ่านกับพสุก็ถูกเขาจัดจานในมือจนตกแตก สร้างความตกใจแก่ร่างบางเป็นอย่างมาก
เพล้ง!
“คุณพสุ” เรียกเขาเสียงดังแล้วเม้มปากแน่น อยากด่าแต่รู้ว่าพูดไปก็เหมือนด่ากำแพง เขาคงไม่ฟังและตอบโต้กลับอย่างเจ็บแสบในเรื่องที่เธอไม่ได้ผิด สิ่งเดียวที่ทำได้คือการบอกตัวเองให้ใจเย็น ท่องนะโมและเก็บเศษจานที่หล่นบนพื้น
“ทำไม มีปัญหาหรือไง” เขาเลิกคิ้วแล้วถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง แต่หล่อนก็ส่ายหน้าเสียก่อน ค่อยนั่งย่อเพื่อเก็บเศษจานที่แตก
“ไม่ค่ะ” ปฏิเสธที่จะต่อปากต่อคำ เธอเป็นคนอาศัยก็ต้องเจียมตัวหน่อย ซึ่งเขาไม่ได้เดินหนีไปไหน กลับมองหล่อนเก็บเศษจานแล้วเตะให้มันพ้นทาง แต่กลายเป็นว่าเหลี่ยมคมของมันบาดที่มือของเธอโดยไม่ตั้งใจ
“โอ๊ย” อุทานด้วยความเจ็บแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง เขากลับทำหน้าเฉยชาไม่รู้สึกรู้สา
“อยากโง่เองช่วยไม่ได้” โดนแค่นี้ถือว่าน้อยกับสิ่งที่เธอทำให้บ้านที่แสนอบอุ่นของเขากลายเป็นเหมือนนรก แล้วยังถือสิทธิ์มาเชิดหน้าชูคอในบ้านหลังนี้อีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนต้องเดินออกจากบ้านแล้วขับรถอย่างรวดเร็วเพื่อระงับอารมณ์ของตน
เขาเกลียดเธอ...ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่เธอเกลียดเขา
“ผู้ชายเฮงซวย” พึมพำเสียงเบากับตัวเองแล้วนำเศษจานไปทิ้ง ค่อยนั่งทำแผลด้วยน้ำตานองหน้า
เธอเรียนจบและหางานทำได้เมื่อไหร่จะออกจากบ้านหลังนี้ทันที!
ปึ่ง ปึ่ง ปึ่ง!
เสียงทุบประตูดังจนทำให้คนที่กำลังอ่านหนังสือต้องเหลียวมอง พรูลมหายใจด้วยความเหนื่อยอกแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือเหมือนเดิม ไหนจะต้องทำงานที่ตนรับแปลเอกสารอีก ไม่มีเวลาออกไปทะเลาะกับคนเมาหรอก
“ออกมา ออกมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้ ออกมาไงผู้หญิงหน้าด้าน” กำมือแน่นแล้วกัดฟันข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้
“เมาแล้วก็กลับห้องไปสิ มารังควานคนอื่นทำไม” พึมพำเสียงเบาแล้วฟังเขาทั้งเคาะทั้งทุบไม่เกรงใจกันเลยสักนิด คิดว่าเป็นเจ้าของบ้านจะทำอะไรก็ได้หรือไง หล่อนไม่มีทางเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามารังแกหรอก
“อึก ออกมาสิวะ!” คนเมายังตะโกนไม่เลิก เธอจึงตัดปัญหาด้วยการเอาหูฟังขึ้นมาสวม แล้วเปิดเพลงให้ดังที่สุด
“ฟังเพลงดีกว่า”
เพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ยินสิ่งที่ระคายหูแล้ว...