๒ ข่มเหงเอาแต่ใจ (๒)
“แต่ผม...”
“ทำเพื่อแม่นะลูก ไปอยู่กับพ่อ” ผละออกจากร่างสูงแล้วกอบกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง หากวันหนึ่งพสุขึ้นแท่นประธานบริษัท ก็คงใจดีจุนเจือหล่อนด้วยเงินหลายสิบล้าน หมายมาดถึงอนาคตที่งดงาม
อย่างไรลูกชายก็ไม่มีทางทอดทิ้งแม่อย่างเธอหรอก...
“ก็ได้ครับ”
พยักหน้าจำยอมโดยไม่พูดอะไรอีก นั่งคุยกับท่านสักพักจึงได้กลับไปนอนที่คอนโดมิเนียมของตนเอง ตอนเย็นนัดเพื่อนเพื่อไปดื่มด้วยกัน จากหนุ่มอารมณ์ดีชอบยิ้มแย้มกลายเป็นคนโมโหร้ายอารมณ์ร้อนในชั่วค่ำคืน
จนเพื่อนสนิทยังนึกสงสัยถึงสาเหตุที่เปลี่ยนพสุจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ เพราะคนต้นเรื่องไม่ยอมเปิดปากเลยสักคำ
ถึงจะเจ็บปวดจากการหย่าร้างและถูกภรรยาป้ายสี แต่ก็ไม่อาจจมกับความทุกข์ได้นาน ต้องออกมาทำงานตามตารางที่เลขานุการได้ส่งมาให้ดู งานกองท่วมหัวจนไม่มีเวลาให้พักหายใจเสียด้วยซ้ำ ยามช่วงเย็นได้เวลาเลิกงาน การจราจรก็ติดขัด
ท่านนั่งหลับตาเพื่อเป็นการผ่อนคลายสายตา หลังอ่านเอกสารมาทั้งวัน แต่กลับต้องลืมตาเมื่อรถที่ขับอย่างนุ่มนวลกลับเบรคกะทันหัน คิ้วขมวดด้วยความสงสัยเพราะคนรถของตนขับรถดีมาตลอด สงสัยมีอุบติเหตุเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เหมือนว่าจะมีคนวิ่งตัดหน้ารถครับ” พอได้ยินอย่างนั้นก็มองนอกหน้าต่าง ทันเห็นหญิงสาวที่คุ้นตาหันมาค้อมศีรษะขอโทษแล้วรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ท่านเห็นว่ามีคนวิ่งตามเธอก็เริ่มเป็นห่วง จึงสั่งคนรถเสียงเข้ม
“ขับตามไป”
เห็นว่าหญิงสาวกำลังวิ่งหนีชายฉกรรจ์สองถึงสามคน ถนนก็มีรถเต็มไปหมดแต่เธอยังคงออกแรงวิ่งไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยข้างฟุตบาธ ก่อนที่รถของคุณภุชงค์จะจอดเทียบแล้วกดกระจกเพื่อตะโกนบอกหล่อนเสียงดัง
“หนู ขึ้นมาเร็ว” คนที่กำลังตั้งใจวิ่งหันมามอง เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วหันมองทางด้านหลังเห็นว่าคนกลุ่มนั้นยังคงวิ่งตาม ไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นรถของอีกฝ่ายทันที ก่อนคนรถจะขับออกไปอย่างรวดเร็วและฉิวเฉียด
เธอเหลียวมองด้านหลังพบว่ารถห่างออกไปและชายพวกนั้นไม่ได้ไล่ตาม จึงพรูลมหายใจโล่งอกพลางยิ้มกว้าง เหมือนว่าตนเองรอดจากการถูกไล่ล่าแล้ว ตอนนี้เธอปลอดภัย...
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ” ยกมือไหว้คุณลุงที่มีประเด็นร่วมกัน คิดว่าจะไม่ได้พบแต่ท่านกลับกลายเป็นคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ซาบซึ้งในบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะรีบน้ำเปล่าจากอีกฝ่ายมาดื่มจนเกือบหมดด้วยความกระหาย
เพิ่งเลิกเรียนก็ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน เกือบจะไม่รอดแล้วแต่สวรรค์ยังมีตาส่งคนมาช่วยเหลือหล่อนเอาไว้ จนพ้นเงื้อมมือของปีศาจร้ายกลุ่มนั้น ทว่าไม่แน่ใจจะหนีไปได้อีกนานแค่ไหน หรือต้องย้ายที่อยู่บ่อยเท่าไหร่ถึงจะหนีคนกลุ่มนั้นพ้นสักที
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมคนพวกนั้นถึงไล่ตามหนู” เมื่อปล่อยให้เธอได้พักหายใจจนเริ่มกลับมาเป็นปกติ จึงใช้โอกาสนี้สอบถามด้วยความเป็นห่วง หล่อนจึงได้เล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบังราวกับต้องการขอความช่วยเหลือ
“พ่อหนูติดหนี้พวกมันแต่ไม่มีจ่าย มันเลยมาตามเอาเงินกับหนู...แต่หนูก็ไม่มีเหมือนกัน” ความจนที่แสนน่ากลัว ทำให้พ่อที่ควรอยู่กับลูกต้องหนีหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็ยังมาทวงตามกับเธอแทน
แล้วยังดูเหมือนว่าหากไม่ได้เงิน ก็จะเอาหล่อนไปทำงานขัดดอก...
มีหรือที่หญิงสาวจะยอม หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทางยอมไปเป็นผู้หญิงขัดดอกที่ไม่รู้จะถูกกระทำหยามเกียรติอย่างไรบ้าง
“ไปบ้านฉันก่อนแล้วกัน” ฟังจบก็นึกสงสารคนข้างกาย จึงคิดจะเป็นที่พักพิงให้เธอในยามทุกข์ เพราะรู้สึกผิดกับเรื่องที่ภรรยาก่อเอาไว้ โยนบาปให้คนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ยิ่งเห็นว่าหล่อนเจอเรื่องราวอะไรมาบ้างก็นึกเห็นใจมากกว่าเดิม
พาหนะเคลื่อนตัวมาตามซอยคับแคบ ก่อนจะเข้าสู่หมู่บ้านซึ่งราคาที่ดินแพงจนน่ากลัว หล่อนไม่คิดว่าจะได้เหยียบย่างมาบ้านหลังนี้เป็นครั้งที่สาม แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง คราวก่อนลูกชายของท่านสาดน้ำถูพื้นที่ใช้แล้วใส่กาย กลิ่นยังเด่นชัดในจมูกไม่มีทางลืม
ความน่ากลัวของเขาฉายออกมาจนทำให้เธอหวาดหวั่น ขนาดประตูเปิดออกพร้อมผายมือให้เกียรติขนาดนั้น ร่างบางยังไม่กล้าลงจากรถ เอาแต่เมียงมองซ้ายขวาราวกับหวั่นเกรงบางสิ่ง ซึ่งคุณภุชงค์พอจะเดาออก ถึงต้องรับรองความปลอดภัยแก่เธอ
“ลงมาเถอะ ลูกชายฉันไม่อยู่หรอก เข้าไปนั่งรอที่ห้องทำงานก่อนก็ได้” ได้ยินดังนั้นจึงกล้าลงจากรถแล้วเดินไปนั่งรอท่านที่ห้องทำงานอย่างเจียมตน ขณะที่เจ้าของบ้านก็แอบสั่งให้ไปสืบเรื่องของหญิงสาวมาอย่างลับๆ
ให้แม่บ้านไปเสิร์ฟของว่างแล้วตนก็ออกมารับโทรศัพท์เพื่อพูดคุยถึงเรื่องของกุลจิรา ฉายรวี คราวแรกนึกว่าหล่อนจะมาจับตนเสียอีก แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำเพราะหญิงสาวก็ถูกหลอกเช่นเดียวกัน
“ว่าไงบ้าง”
‘จริงครับ พ่อของเธอติดหนี้นอกระบบ โดนทวงโดนตามหนักมากตอนนี้หายตัวไปยังหาไม่เจอ มันเลยมาตามกับเธอจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน’
สืบได้ความเป็นจริงดังที่หล่อนบอกให้ฟัง ท่านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามถึงจำนวนเงินที่หญิงสาวค้างคนกลุ่มนั้นเอาไว้
“เงินเท่าไหร่”
‘ห้าแสนครับ’ จำนวนเงินที่ยืมจริงน่าจะไม่ถึง แต่อาจรวมดอกเบี้ยที่ขึ้นมหาโหด เรียกว่าคูณสิบเท่าก็คงได้ แล้วอย่างนี้ใช้กี่ชาติถึงจะหมด นึกสงสารหล่อนทั้งเห็นว่าเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่มาก หากจ่ายห้าแสนแล้วเป็นการไถ่โทษแทนภรรยาที่กระทำกับหล่อน
ท่านก็เลือกจะจ่าย...
“จ่ายให้เธอหน่อย ถือเป็นการไถ่โทษที่ฉันทำให้เธอต้องเจอเรื่องปวดหัวเพิ่ม” บอกอย่างใจดีโดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก ปลายสายทำได้เพียงรับคำแล้วทำตามที่เจ้านายสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
รับรู้ข้อมูลคร่าวๆ ของกุลจิราจึงคิดสงสาร ตั้งแต่วันนั้นที่พูดกับเธอเรื่องฝากงานก็ยังไม่ได้คุยกับเพื่อนจริงจัง สงสัยคราวนี้คงได้ฝากฝังเอาไว้ให้เป็นกิจจะลักษณะหน่อยแล้ว หรือไม่อย่างนั้นอาจให้หล่อนมาทำงานด้วย
เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย...
“ดื่มน้ำกับขนมก่อนนะ” เข้ามาในห้องเห็นว่าเธอนั่งนิ่งไม่ยอมแตะน้ำกับของว่างที่แม่บ้านนำมาเสิร์ฟ จึงบอกเพื่อให้หล่อนคลายจากอาการเกร็ง
“ขอบคุณค่ะ” ยกมือไหว้แล้วกินด้วยความหิว ที่จริงเธอต้องไปทำงานหาเงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เพราะโดนตามจึงไม่อาจไปทำงานได้ ต้องนั่งนิ่งอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ทั้งยังนึกกังวลว่าเมื่อไหร่ลูกชายเจ้าของบ้านจะมา ตนจะได้รีบหลบหนีไปโดยเร็ว
“หนูเรียนอยู่ที่ไหน” ใช้โอกาสนี้เพื่อถามไถ่
“มหาวิทยาลัย...คณะอักษรเอกภาษาอังกฤษค่ะ”
“ฉันขอโทษที่เสียมารยาท มหา’ลัยที่หนูเรียนค่าเทอมไม่ใช่ถูก หนูเอาเงินจากไหนมาเรียนเหรอ” มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่ติดอันดับหนึ่งในห้าถือว่าเข้ายาก หล่อนสามารถสอบเข้าและเรียนมาจนใกล้จบ ทักษะการเอาตัวรอดอยู่ในระดับดีเยี่ยมเลยล่ะ
ยิ่งคุยก็เห็นว่ากุลจิราน่าสนใจมากกว่าเดิม หากเข้าคู่กับลูกชายของตนก็คงจะดี...เสียดายที่ไม่ได้พบกันก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง