บทที่ 9
เสียงฝีเท้าหนักๆ กระทบกับพื้นเรือนเหลียนฮวาที่ถูกขัดจนมันวาวบ่งบอกได้ถึงความเร่งรีบของผู้มาเยือน เป็นเหตุให้ร่างระหงในชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อนอย่างดีเงยหน้าขึ้นมาจากม้วนกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นเชิงตำหนิใส่บ่าวคนสนิทที่เสียกิริยาตั้งแต่เช้าตรู่
“คุณหนูเจ้าคะ” อาเถียนเรียกปนหอบ
“เกิดอะไรขึ้น”
“ฮองเฮาเจ้าค่ะ” คนที่วิ่งมาตามคุณหนูของนางพูดเป็นคำๆ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงกับพื้น
ฮุยฮวาลุกขึ้นยืนโดยไม่ต้องรอให้คนตรงหน้าได้อธิบายอะไรอีก เพราะทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวถึงผู้ดำรงตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดินต้าหลง นั่นหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ฮองเฮาให้เป่ยกงกง กงกงประจำพระตำหนักมาแจ้งข่าวท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” อาเถียนรีบเอ่ยออกไป ก่อนที่คุณหนูของนางจะก้าวเท้าพ้นประตูเรือน
“ข่าวของท่านพ่อหรือ” ฮุยฮวาถาม และรีบก้าวเท้าออกไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูเจ้าคะ รอข้าด้วย”
สาวน้อยวัยแรกแย้มเดินลงจากเรือนไปหยุดอยู่ตรงหน้าขันทีประจำตำหนักฮองเฮาด้วยสีหน้าซีดเผือด เนื่องจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างเป่ยกงกงคือรองแม่ทัพตะวันออก สหายร่วมรบของบิดาที่นางและคนในจวนสกุลกงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“คารวะเป่ยกงกง คารวะรองแม่ทัพตะวันออกเจ้าค่ะ”
ฮุยฮวาพยายามตั้งสติและทำความเคารพผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม
“เดิมทีฝ่ายในไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาก้าวก่าย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนฮองเฮาจึงพระราชทานอนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ เชิญท่านรองแม่ทัพรีบพูดธุระของท่านกับคุณหนูกงเถิด” เป่ยกง กงกล่าวจบก็ขยับหลบไปทางซ้าย เพื่อให้รองแม่ทัพที่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีนักได้พูดคุยกับนาง
“ท่านแม่ทัพตะวันออก…”
“ท่านพ่อเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” ฮุยฮวาถามอย่างร้อนใจ
“ท่านแม่ทัพตะวันออกตายในสนามรบ ระหว่างการคุ้มกันองค์รัชทายาท…”
โสตประสาทของฮุยฮวาดับสนิททันทีที่ได้ยินข่าวการจากไปอย่างฉุกละหุกของบิดา เจ้าของร่างบอบบางทรุดนั่งลงกับพื้นราวกับว่าขาทั้งสองข้างของนางไร้ซึ่งแรงในการพยุงตัว
หยดน้ำตาจำนวนมากไหลทะลักออกมาจากดวงตาหม่นเศร้า ริมฝีปากเล็กสั่นระริก แต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นของบุตรสาวแม่ทัพผู้เกรียงไกร
แม้ภาพตรงหน้าจะชวนหดหู่ ทว่าในสายตาของผู้พบเห็นกลับมีความชื่นชมขึ้นวูบหนึ่ง
หัวใจของนางยามนี้… แข็งแกร่งไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาเลย