บทที่ 10
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนทุกคนตั้งตัวไม่ติด ฮุยฮวาได้รับพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้และฮองเฮาให้กลับจวนก่อนกำหนด เพื่อมารอรับศพของบิดาและเตรียมจัดพิธีขึ้นอย่างสมเกียรติตามธรรมเนียมของต้าหลง
หน้าจวนสกุลกงประดับด้วยผ้าแถบสีขาวดำเพื่อเป็นการไว้ทุกข์และประกาศเกียรติยศตามธรรมเนียมของครอบครัวเหล่าทหารกล้าที่เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน ซึ่งของเหล่านี้ฮ่องเต้เป็นผู้พระราชทานให้เป็นการส่วนพระองค์เอง พร้อมกับบำเหน็จสำหรับสกุลกงอีกสามสิบหีบ
นอกจากนี้ท่านแม่ทัพตะวันออก กงเหยา ยังถูกจดจำและจารึกชื่อไว้บนหอเกียรติยศของวังหลวงในฐานะแม่ทัพผู้กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์ นับเป็นเกียรติสูงสุดแก่วงศ์ตระกูล ทว่าเกียรติยศและรางวัลเหล่านั้น ไม่อาจทดแทนการจากลาที่ไม่อาจหวนคืนของผู้นำตระกูลได้
บรรดาบ่าวไพร่ในจวนไม่แม้แต่จะส่งเสียงใดเล็ดลอดออกมา เนื่องจากยังไม่รู้ว่าจะสามารถพึ่งพาผู้ใดได้ในการต่อไป
ยามนี้สกุลกงขาดเสาหลัก ทั้งบุตรสาวคนโตยังเป็นเพียงสตรีวัยแรกแย้มที่พึ่งเลยวัยปักปิ่นไปได้แค่หนึ่งปี ซ้ำบุตรชายคนเดียวของตระกูลยังมีอายุเพียงสิบขวบ กงฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นเพียงสตรีในห้องหอที่ไม่อาจจัดการกับความโกลาหลในยามนี้ได้ นับว่าเป็นการหมดสิ้นอำนาจของสกุลกงโดยแท้
“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยิน”
เสียงร้องเรียกกงฮูหยินดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่คนในจวนจะพร้อมใจกันหลบทางให้บ่าวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าตามสัญชาตญาณ
“เกิดอะไรขึ้น” ฮุยฮวาเอ่ยถามแทนมารดาที่อยู่ในเรือน
“ฮูหยินผู้เฒ่าหายไปเจ้าค่ะคุณหนู”
“ท่านย่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ร่างบางถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และรีบออกคำสั่งให้คนในจวนละทิ้งงานในมือ เพื่อช่วยกันตามหาฮูหยินผู้เฒ่าให้เจอก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
“ฮูหยินผู้เฒ่าหน้ามืดหมดสตินับครั้งไม่ถ้วนมาตั้งแต่ทราบข่าวท่านแม่ทัพ พอฟื้นคืนสติขึ้นมาในช่วงบ่าย บ่าวจึงออกไปสั่งคนครัวให้นำสำรับอาหารมาให้ แต่พอกลับมาที่เรือนก็ไม่พบฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วในเรือนท่านย่าไม่มีบ่าวสักคนเลยหรือ”
“เจ้าค่ะ ปรกติฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ชอบให้พวกบ่าวไพร่ขึ้นไปยุ่งวุ่นวายที่เรือนสงบใจอยู่แล้ว ยิ่งเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เรือนสงบใจอีก นอกจากบ่าวที่รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ามานาน คุณหนูได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วย”
ใบหน้าทุกข์ตรมขยับรับคำ ก่อนจะหันไปถามถึงอาการของมารดาจากบ่าวอีกคน
“ตอนนี้ฮูหยินได้สติแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า…”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ฮูหยินไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านหมอจะถามสิ่งใดก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด คุณหนูจะให้บ่าวทำอย่างไรดีเจ้าคะ” บ่าวที่พึ่งวิ่งลงมาจากเรือนใหญ่เอ่ยด้วยท่าทางร้อนรน
“อย่าให้ท่านแม่ทราบเรื่องของท่านย่า ข้าจะออกไปตามหาท่านย่าเอง”
ฮุยฮวาตัดสินใจเด็ดขาด ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนของตนเพื่อหยิบอะไรบางอย่างติดมือออกไปด้วย
“พี่หญิง!”
เสียงเรียกของกงชิงซาน ทำให้ร่างบางที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปจากประตูจวนหยุดชะงัก
“ข้าคิดว่าท่านย่าต้องไปที่วัดประจำตระกูลแน่ ฉะนั้นให้ข้า…”
“ฝากเจ้าดูแลท่านแม่ด้วย” หญิงสาวเอ่ยขัดขึ้น เพราะรู้ว่าน้องชายจะต้องขอไปตามท่านย่าแทน ซึ่งนางจะปล่อยให้ความหวังเดียวของตระกูลในตอนนี้อย่างกงชิงซานต้องพบเจอกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทางขึ้นเขาไปยังวัดประจำตระกูลเพียงลำพังไม่ได้เด็ดขาด
“แต่ข้า…”
“ผู้นำสกุลกงคนต่อไปคือเจ้านะ ชิงซาน”
น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายจะร้องไห้ แต่พยายามสะกดกลั้นมันเอาไว้เอ่ยขึ้น
เด็กชายวัยสิบขวบโผเข้ากอดพี่สาวของตนด้วยความรัก ก่อนจะเอ่ยขอคำสัญญาจากคนตรงหน้าอย่างจำใจ “สัญญากับข้าได้หรือไม่… สัญญากับข้าว่าพี่หญิงจะกลับมาพร้อมท่านย่า ก่อนอาทิตย์ตกดิน”
ฮุยฮวายกมือขึ้นมาตบบ่าน้องชายเบาๆ
“ข้าจะกลับมา”