บทที่ 5
ปลายนิ้วเรียวไล้ไปบนลวดลายของดอกเหลียนฮวาบนผ้าไหมเนื้อดีสีเขียวอ่อนที่ได้รับพระราชทานมาจากฮองเฮา เดิมทีมันไม่มีลวดลายอย่างเช่นตอนนี้ หากแต่เมื่อเดือนก่อนฮองเฮาได้ส่งอาจารย์จากกองภูษาของวังหลังให้มาอบรมบรรดาองค์หญิงและลูกสาวขุนนางภายในวังให้รู้จักการเย็บปักถักร้อยบนผืนผ้า ก่อนที่วันชมบุปผาจะมาถึงในช่วงฤดูหนาว
เป็นเวลากว่าห้าเดือนที่ฮุยฮวาใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงในฐานะว่าที่พระคู่หมั้นขององค์รัชทายาท แม้ตำแหน่งนี้จะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่บรรดาลูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างก็ให้ความย่ำเกรงต่อนางไม่น้อย
ชีวิตภายในรั้วกำแพงวังสูงชันคล้ายจะสงบสุข แต่กลับปั่นป่วนอยู่ไม่น้อยหากวันไหนโชคไม่เข้าข้างให้นางได้พบเจอกับบรรดาหลานสาวของพระสนมที่หมายจะเข้ามาถวายตัวในวังหลัง ในฐานะพระชายาขององค์ชายสักองค์ในกาลข้างหน้า
“คุณหนูเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” อาเถียนเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่านายของตนปักผ้าเสร็จแล้ว
“ข้าไม่…”
“นายของเจ้าจะเหนื่อยได้อย่างไร *ดอกเหลียนฮวาของคุณหนูกงปักง่ายกว่า **ดอกเหมยกุยฮวาของคุณหนูข้าตั้งไม่รู้กี่เท่า เสียดายที่อาจารย์สายตาฝ้าฟางมองว่ามันปราณีตงดงามกว่าฝีมือของผู้อื่น ถ้าให้ข้าเดาล่ะก็…”
“อาฉิว!” กู่เหมยเจียง คุณหนูจากสกุลกู่ ผู้เป็นหลานสาวของกู่กุ้ยเฟยเอ่ยปรามคนของตน
“อาฉิวผิดไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เหมยเจียงแสร้งยิ้มบางและส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยให้คนของนาง ก่อนจะหันไปทางคู่อริที่ท่านน้าของนางสั่งให้หมายหัวเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน เนื่องจากอายุของนางมากกว่าอีกฝ่ายถึงสองปี แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าต้องขอโทษคุณหนูกงแทนคนของข้าด้วย หากว่าอาฉิวเผลอพูดความจริงที่ทำร้ายจิตใจคุณหนูกงเข้า หวังว่าคุณหนูจะไม่ถือสาเอาความ”
“นี่…”
ฮุยฮวารีบกระตุกชายเสื้อของอาเถียนเพื่อเตือนสติ เพราะงานนี้นางต้องการออกหน้าแทน
“ท่านกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนูกู่ ข้ายินดีรับคำติชมที่ตรงไปตรงมาของอาฉิวยิ่ง แม้จะตรงไปตรงมาจนดูเหมือนไร้มารยาทไปบ้าง แต่ข้าก็เข้าใจดีว่านายเป็นเช่นไร บ่าวก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น นับว่าสกุลกู่อบรมบ่าวในจวนให้ซื่อสัตย์ดีเหลือเกิน” ว่าจบฮุยฮวาก็ไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มอ่อนหวานให้สองนายบ่าวเหมือนทุกครา
เฮ้อ… แค่ลูบหลัง ตบหัว แล้วก็ลูบหลังซ้ำอีกสักครา มันจะอยากเย็นตรงที่ใด