ตอนที่3 แผนการที่ล้มเหลว
เหยาลี่เซียนเหลือบมองใบหน้าของฟางหนิงหลินอยู่หลายครา ถึงจะรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหาย แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยถามเพราะคิดว่าสถานที่ที่มีคนมากมายเช่นนี้ไม่ควรเอ่ยเรื่องราวภายในใจออกมา องค์หญิงเหยาลี่เซียนจึงไม่คิดคาดคั้นถาม นางเพียงรอให้ถึงเวลางานเลี้ยงเลิกแล้วค่อยถามสหาย
เหยาลี่เซียนพาฟางหนิงหลินไปนั่งกับสตรีคนอื่น ๆเมื่อมาถึงนางก็ทักทายทุกคนที่นั่งอยู่ตามมารยาท หนึ่งในสตรีที่นั่งอยู่นั้นก็มีเจียงเจียวซินนั่งอยู่ด้วย
“หนิงหลินวันนี้เจ้าดูสวยแปลกตากว่าทุกครั้งยิ่งนัก” เจียงเจียวซินเอ่ยทักฟางหนิงหลิน
“อย่างนั้นหรือ” ฟางหนิงหลินตอบกลับพร้อมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
คำตอบและสีหน้าท่าทางของฟางหนิงหลินทำเอาเจียงเจียวซินถึงกับชะงัก เพราะนางไม่เคยเห็นฟางหนิงหลินแสดงออกเช่นนี้กับนาง เจียงเจียวซินนั่งมองฟางหนิงหลินก่อนที่จะคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ ‘หรือว่าเจ้าจะรู้แผนการที่ข้าวางไว้ แต่เป็นไปไม่ได้หากเจ้ารู้คงต่อว่าข้าให้อับอายทุกคนในงานเลี้ยงไปแล้ว คงไม่นิ่งเฉยอยู่เช่นนี้เป็นแน่’ เจียงเจียวซินคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ นางจึงต้องไปตรวจสอบแผนการที่นางวางไว้ด้วยตนเองเพื่อจะได้สบายใจ นางจึงได้เอ่ยขอสหายร่วมโต๊ะไปทำกิจธุระส่วนตัว
เพียงเจียงเจียวซินเดินออกไปพ้นโต๊ะ สายตาของฟางหนิงหลินก็เหลือบไปเห็นสายตาอำมหิตที่จ้องมองมายังนาง ที่นั่งของฟางหนิงหลินที่องค์หญิงเหยาลี่เซียนเลือกไว้ให้นั้น ช่างเป็นที่นั่งที่รู้ใจสหายเช่นนางมากนัก เพราะนางได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่นางรักใคร่ได้อย่างชัดเจน แต่นั่นมันคือเรื่องเมื่อวันวานเพราะตอนนี้นางยังทำใจมองใบหน้าของเขาไม่ได้
นางหันหน้าหนีแต่กลับต้องหันไปเจอสายตาอีกคู่ที่มองมา ดวงตาของเขาเย็นชาไร้ปรานี ความทรงจำในภาพฝันผุดขึ้นในหัวของนางทันทีที่ได้เห็นสายตาเช่นนี้ของเขา เขาคือคนที่จับนางไปขังไว้ในกระโจมหลังค่ายทหาร เพื่อแก้แค้นนางที่วางยากำหนัดเจียงเจียวซินสตรีที่เขารัก โดยการให้นางเป็นที่ระบายความใคร่ให้กับทหารในค่าย เพื่อให้นางรับรู้ถึงความทรมานที่ถูกผู้อื่นย่ำยี ความรู้สึกในฝันที่ถูกทหารเหล่านั้นกระทำ ทำให้นางรู้สึกกลัวสายตาของเสิ่นหลิวหยางขึ้นมาทันที
ฟางหนิงหลินรู้สึกอึดอัดจนยากที่จะหายใจ เพราะการจับจ้องของสายตาทั้งสองคู่ ถึงนางจะพยายามทำเป็นมองไม่เห็น แต่เพียงนางเงยหน้าขึ้นดวงตาของนางก็เหลือบมองไปเห็นบุรุษทั้งสองอยู่ดี
“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันขอตัวไปเดินสูดอากาศสักครู่” ฟางหนิงหลินไม่อาจทนเห็นสายตาของพวกเขาได้ จึงได้ขอตัวออกมาจากที่ตรงนั้น
“เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” เหยาลี่เซียนเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเพียงดื่มสุรามากไป จึงอยากไปเดินเล่นสักครู่ เชิญองค์หญิงสนุกต่อเถอะเพคะ” ฟางหนิงหลินเอ่ยพร้อมยกยิ้ม
เหยาลี่เซียนเห็นว่าสหายไม่อยากให้ตามไปจึงได้พยักหน้าตอบรับ ฟางหนิงหลินลุกเดินออกไปตามทาง แน่นอนวังหลวงแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับจวนของนาง เพราะนางเข้ามาเป็นสหายร่วมเรียนกับองค์หญิงตั้งแต่นางอายุ10หนาวจึงรู้จักทางเป็นอย่างดี นางเดินมุ่งหน้าไปยังศาลาสระบัวที่อยู่ไม่ไกลนัก
เหยาหวังเหว่ยยกจอกสุราขึ้นดื่มครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน ด้วยโทสะที่ถาโถมอยู่ในใจ เมื่อเห็นสตรีที่เคยถวิลหาเขามาโดยตลอด แต่บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปราวกับไร้เยื่อใย อีกทั้งยังยิ้มให้บุรุษอื่นต่อหน้าเขาอีก ช่างเหยียดหยามเขายิ่งนัก
เมื่อเขาเห็นฟางหนิงหลินลุกเดินออกไปด้านนอก เขาก็ลุกเดินออกไปเช่นกัน แต่เขาหาได้เดินตามนางไปไม่ เขาเดินไปยังตำหนักที่ใช้รับรองแขกที่หลัวฮองเฮาทรงสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมไว้ เผื่อมีบุรุษที่ดื่มสุราจนเมามายต้องการพักผ่อนให้สร่างเมา หรือเพื่อไว้เปลี่ยนอาภรณ์ยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูห้อง ก็มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง หูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของนางจึงหันมาดู เมื่อเหยาหวังเหว่ยเห็นว่าเป็นผู้ใดเขาถึงกับเหยียดยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมาทันที ทำเอาสตรีที่ได้เห็นถึงกับตกตะลึงกับรอยยิ้มของเขา
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ
“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย
“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตู
เจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว
“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน
“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป
“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน แววตาเว้าวอนขอร้อง
แน่นอนว่าเจียงเจียวซินได้ใช้ให้เหล่านางกำนัลขันทีที่เฝ้าตำหนักแห่งนี้ไปทำอย่างอื่นก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้มีผู้ใดเป็นพยานว่านางเป็นฝ่ายเสนอตัวดูแลเหยาหวังเหว่ย ไม่เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
รอยยิ้มแข็งกระด้างฉายขึ้นบนใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย หากเป็นบุรุษอื่นได้ยินน้ำเสียงและเห็นแววตาของนางเช่นนี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธ แต่เขาหาใช่บุรุษพวกนั้นไม่ เขาจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เขามองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน หากเขาไม่คิดทำการใหญ่ เรื่องที่นางให้คนวางยาเขาในวันนี้ คงไม่อาจยื้อชีวิตของนางไว้ได้เป็นแน่