ตอนที่2.2 งานเลี้ยง
เพราะคำขอของฮองเฮาพระองค์ก่อนทำให้ตอนนี้เหล่าองค์ชายรวมถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนที่ถึงวัยแต่งงานยังไม่ยอมที่จะเลือกคู่ครองของตน ทำให้ไทเฮาและหลัวฮองเฮาวิตกกังวล จึงได้ขอให้ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้โดยแยกระหว่างเหล่าขุนนางที่ออกเรือนแล้ว กับเหล่าบุรุษสตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้แยกกันฉลอง
ถึงปกติไทเฮาและหลัวฮองเฮาจะมีการจัดงานเลี้ยงชมบุปผาเพื่อให้องค์ชายทั้งสามและองค์หญิงเหยาลี่เซียนได้พบเจอกับเหล่าลูกหลานของบรรดาขุนนางอยู่แล้ว แต่เหล่าองค์ชายทั้งหลายก็มักมีข้ออ้างไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยงอยู่ร่ำไป แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะองค์ชายทั้งสามไม่อาจปฏิเสธไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ และยังมีลูกหลานตระกูลขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์หลายคนที่อยู่ห่างไกลมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย จึงไม่เหมือนงานเลี้ยงครั้งอื่น ๆที่จัดขึ้น
แน่นอนเรื่องที่ใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้เพื่อดูตัวบุตรสาวบุตรชายของเหล่าขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์เพื่อมาเกี่ยวดองกับราชวงศ์ฟางหนิงหลินย่อมรู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะนางคือสหายคนสนิทขององค์หญิงเหยาลี่เซียน พระธิดาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้กับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เพราะเป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวจึงถูกตามใจจากฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาจนใคร ๆก็ล้วนต้องเกรงกลัวนาง
ความจริงงานเลี้ยงในครั้งนี้ฟางหนิงหลินตั้งหน้าตั้งตาคอยมาตั้งแต่รู้ข่าวจากเหยาลี่เซียน ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับนางล้วนสั่งทำใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นที่โดดเด่น แต่ไม่ใช่เพื่อให้ใคร ๆหันมาสนใจนาง เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางอยากให้เขาหันมามอง นั่นก็คือเหยาหวังเหว่ย
เหยาหวังเหว่ยเป็นพระโอรสองค์รองของฮ่องเต้ที่เกิดจากฮองเฮาพระองค์ก่อนที่สวรรคตไปแล้ว หลังจากชนะสงครามครั้งนี้ก็ได้แต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ความจริงแล้วมีขุนนางมากมายที่สนับสนุนให้เขาเป็นไท่จื่อ[1]แต่เขากลับปฏิเสธ ทำให้เหยาซีฮันพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้ที่เกิดจากหลัวฮองเฮาได้เป็นองค์รัชทายาท
เมื่อฟางหนิงหลินเดินเข้ามาในงานนางก็ตกเป็นเป้าสายตาของบุรุษหลายคน ชุดสีชมพูอ่อนแสนหวานชายกระโปรงปักลายผีเสื้อหลากสีสันเมื่อยามเดินดูราวผีเสื้อขยับปีกโบยบิน ชุดตัดเย็บเข้ารูปพอดีตัวเผยให้เห็นสัดส่วนของสตรีที่ถึงวัยออกเรือนอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอมชมพูพวงแก้มแต่งแต้มด้วยสีชมพูจาง ๆดูเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงบุรุษที่หันมามอง แม้แต่สตรีด้วยกันก็ยังต้องเหลียว เพราะวันนี้นางดูอ่อนหวานละมุนน่าทะนุถนอมต่างจากปกติที่จะแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาด
ความจริงมีบุรุษมากมายที่หมายอยากเกี่ยวดองกับฟางหนิงหลินเพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ไม่เป็นรองสตรีใดในเมืองหลวง ฐานะทางบ้านของนางก็ถือว่าเป็นฐานอำนาจที่มั่นคงมากทีเดียว เพราะบิดาของนางฟางรั่วซานเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวง ส่วนท่านตาเป็นราชครู และยังมีท่านลุงเป็นเสนาบดีกรมคลังอีกด้วย
แต่ที่ไม่มีบุรุษหนุ่มผู้ใดเกี้ยวพาราสีนางนั้น เป็นเพราะนางแสดงออกและเอ่ยอย่างชัดเจนว่านางชื่นชอบเหยาหวังเหว่ย จึงไม่มีผู้ใดคิดจะเชื่อมสัมพันธ์กับนาง ทุกคนทำได้เพียงแต่มองนางยามที่นางเผยตัวในสถานที่ต่าง ๆเท่านั้น
“หนิงหลินเจ้ามาได้เสียที”เหยาลี่เซียนเอ่ยเรียกสหายคนสนิทเมื่อเห็นหน้า
เหยาลี่เซียนถึงจะเป็นองค์หญิงที่มีสตรีมากมายอยากเป็นสหาย แต่คนที่นางนับเป็นสหายสนิทนั้นก็มีเพียงฟางหนิงหลินเท่านั้น เพราะนางเติบโตมาด้วยการถูกตามใจตั้งแต่เล็ก ไม่ว่านางทำอันใดก็ไม่เคยถูกขัดใจมาก่อน แต่เมื่อมาเจอกับฟางหนิงหลินที่กล้าพูดกับนางตรงไปตรงมา ทำให้นางรู้สึกไม่เคยพบใครที่จริงใจกับนางเช่นนี้ นางจึงชอบที่จะพูดคุยกับฟางหนิงหลิน เมื่อวันเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นความสนิทและผูกพันราวพี่น้อง
เสียงดีอกดีใจขององค์หญิงเหยาลี่เซียนทำให้ทุกคนหันมอง ยิ่งทำให้ฟางหนิงหลินที่เดินมากลายเป็นจุดเด่นมากขึ้นไปอีก แน่นอนแม้แต่องค์ชายทั้งสามที่นั่งดื่มสุราอยู่กับเหล่าสหายก็หันมามองเช่นกัน
เหยาลี่เซียนเดินมาจับมือของฟางหนิงหลินและพาเดินไปยังที่เสด็จพี่ของนางนั่งอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้สหายคนสนิทได้มีโอกาสพูดคุยกับบุรุษที่เฝ้าคะนึงหามาหลายเดือน แต่เหยาลี่เซียนกลับต้องประหลาดใจเมื่อสิ่งที่นางคิดไว้ไม่เป็นดั่งคาด นางคิดว่าฟางหนิงหลินจะต้องรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้าของสหายกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพียงฟางหนิงหลินได้เห็นใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย ในใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที ถึงนั่นจะเป็นความฝันแต่สิ่งที่นางได้รับจากเขาเมื่อทบทวนดูแล้วก็ไม่ต่างจากความฝันนั้นเลยสักส่วน ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าของนางก็มักจะเมินเฉยสีหน้าราวไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด ไม่ว่านางจะมอบสิ่งใดให้เขาก็เพียงแค่รับเอาไว้แต่หาเคยยินดีหรือกล่าวชมอันใดไม่ เหมือนรับไว้เพียงเพื่อตัดความรำคาญเท่านั้น
ไม่เพียงแค่เหยาลี่เซียนที่ประหลาดใจ แต่คนที่นั่งอยู่ทั้ง5คนนั้นก็ต่างรู้สึกว่าฟางหนิงหลินดูแปลกไปเช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อฟางหนิงหลินเห็นเหยาหวังเหว่ยสีหน้าของนางจะยิ้มแย้มเบิกบานราวกับดอกทานตะวันที่บานสะพรั่ง แววตาทอประกายราวแสงดาวระยิบระยับ นางจะจ้องมองเหยาหวังเหว่ยอย่างไม่วางตา และทำราวกับคนที่อยู่รอบกายเป็นเพียงอากาศ แต่บัดนี้ใบหน้าของนางกลับไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลย สีหน้าของนางหดหู่ สายตาของนางมองต่ำราวกับไม่อยากเห็นหน้าผู้ใด สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“หลินเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายอย่างนั้นหรือ” สวีจื้อซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทางของนางดูซึมเศร้าไม่ร่าเริง
สวีจื้อซานเปรียบเสมือนพี่ชายของฟางหนิงหลิน เพราะเขาเห็นนางมาตั้งแต่แรกเกิด จวนของทั้งคู่อยู่ติดกันอีกทั้งบิดาของทั้งสองคนนั้นยังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน ความผูกพันของทั้งสองจึงแน่นแฟ้น บิดาของเขาเป็นเสนาบดีสำนักตรวจการส่วนเขาเป็นองครักษ์
ที่สวีจื้อซานได้มานั่งร่วมโต๊ะกับเหล่าองค์ชาย เพราะเขานั้นเคยเป็นสหายร่วมเรียนกับองค์ชายทั้งสามมาก่อน และเขายังสนิทกับเหยาซีฮันมากเป็นพิเศษอีกด้วย
“อ๋อ! ข้าไม่เป็นไร” ฟางหนิงหลินหันไปตามเสียงที่คุ้นเคยพร้อมเอ่ยตอบก่อนที่จะส่งยิ้มให้สวีจื้อซาน
ทุกคนที่นั่งอยู่เผลอเลิกคิ้วด้วยสีหน้าประหลาดใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าที่ฟางหนิงหลินใช้มองสวีจื้อซาน สีหน้าของนางเบิกบานขึ้นมาทันที
ฟางหนิงหลินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของสายตาคู่อื่น ๆที่มองมายังนาง ทำให้นางนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นได้แสดงท่าทีแปลก ๆออกไป นางจึงได้เอ่ยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่น่าอึดอัดในตอนนี้
“หม่อมฉันขอยินดีกับองค์ชายใหญ่ที่ได้เป็นองค์รัชทายาท ยินดีกับองค์ชายรองที่ได้เป็นชินอ๋อง และยินดีกับองค์ชายสามที่ได้เป็นจวิ้นอ๋องด้วยนะเพคะ”
องค์รัชทายาทเหยาซีฮันพยักหน้าตอบรับพร้อมยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน ส่วนองค์ชายสามเหยาซิงอีส่งเสียง ‘อืม’ สั้น ๆในลำคอ แต่สีหน้าและสายตาของเขาที่แสดงออกมานั้น ไม่ต้องอธิบายอันใดก็พอจะทำให้คนที่เห็นรู้ได้ว่าองค์ชายสามไม่ชอบฟางหนิงหลิน ส่วนเหยาหวังเหว่ยนั้นไม่ได้เอ่ยอันใด มีเพียงสายตาดุดันที่มองมายังนางราวกับไม่พอใจ
“หม่อมฉันไม่อยู่รบกวนแล้วเพคะ” ฟางหนิงหลินเอ่ยออกมาทันที เมื่อเหลือบตาไปเห็นสายตาของเหยาหวังเหว่ย
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่เห็นข้าหรือว่าไม่อยากแสดงความยินดีกับข้าอย่างนั้นหรือ” เสิ่นหลิวหยางเอ่ยเสียงแข็ง
เสียงของเขากระตุ้นความทรงจำในฝันของนาง ตัวนางสั่นเทาขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา นางพยายามปลอบใจตนเอง ‘มันเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่นเท่านั้น หาใช่เรื่องจริงไม่’ นางระบายลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่ง จึงมองใบหน้าของเขาก่อนเอ่ย
“ข้าน้อยยินดีกับแม่ทัพเสิ่นด้วยเจ้าค่ะที่ได้เลื่อนตำแหน่ง”
เพียงกล่าวจบฟางหนิงหลินก็ไม่คิดจะยืนฟังคำตอบ หรือดูการตอบสนองใด ๆของเสิ่นหลิวหยาง นางย่อตัวทำความเคารพองค์ชายทั้งสามแล้วหันมาหาเหยาลี่เซียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนที่จะคล้องแขนสหาย และพาเหยาลี่เซียนเดินออกมา ทำให้เสิ่นหลิวหยางที่ไม่พอใจนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไม่พอใจในตัวนางมากขึ้น
[1] ไท่จื่อ = องค์รัชทายาท