ตอนที่2 งานเลี้ยง
“คุณหนูเจ้าขา ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ หากไม่ตื่นอีกจะไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ”
ลี่อินสาวรับใช้ของฟางหนิงหลินเรียกคุณหนูของนางให้ตื่น เพื่อลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ทันไปงานเลี้ยงในวังหลวงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะจากการทำสงครามกับแคว้นเหลียง และร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและเลื่อนตำแหน่งให้กับเหล่าผู้กล้าที่มีความดีความชอบในการศึกครั้งนี้ด้วย
ลี่อินเห็นว่าเรียกฟางหนิงหลินเท่าใดก็ไม่ยอมตื่นเสียที อีกทั้งใบหน้าของคุณหนูของนางก็ยังมีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ด ๆสีหน้าของฟางหนิงหลินราวกับคนกำลังเศร้าเสียใจอยู่ก็ไม่ปาน ลี่อินจึงคิดว่าคุณหนูของนางคงจะฝันร้ายอยู่เป็นแน่ นางจึงได้เขย่าแขนเพื่อให้คุณหนูของนางตื่นจากฝันร้ายนั้น
เมื่อหญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่นจากภวังค์ นางรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมสาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนอนทันที เมื่อรู้ว่านางเพียงหลับฝันไปหนึ่งตื่นเท่านั้น นางก็ระบายลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ
“นี้ข้าฝันไปอย่างนั้นหรือ” ฟางหนิงหลินหันมาเอ่ยกับลี่อิน
“คุณหนูฝันร้ายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ไม่เป็นไรนะเจ้าคะมันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้ท่านรีบแต่งตัวดีหรือไม่ วันนี้ท่านจะได้เห็นบุรุษที่ท่านเฝ้ารอมาตลอดหลายเดือนแล้วนะเจ้าคะ” ลี่อินพูดด้วยรอยยิ้มและกล่าวถึงบุรุษที่ฟางหนิงหลินมีใจถวิลหาเพื่อให้นางผ่อนคลายจากฝันร้าย
แต่ฟางหนิงหลินกลับไม่ลุกขึ้น นางยังคงนั่งคิดถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวในฝัน นางหลับไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแต่ในฝันช่างยาวนานราวกับเกิดขึ้นจริง ๆนางนั่งทบทวนเรื่องราวในฝันอยู่พักหนึ่ง จนได้ยินเสียงเร่งเร้าจากสาวใช้คนสนิทดังขึ้น นางจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
ตลอดเวลาที่สาวใช้คอยปรนนิบัติอาบน้ำแต่งตัวให้นาง นางก็ยังคงไม่เลิกคิดถึงเรื่องราวในฝันนั้น จนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองสังเกตความผิดปกติของคุณหนูของพวกนางได้อย่างชัดเจน
“คุณหนูท่านเป็นกังวลเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลินด้วยความเป็นห่วง
ฟางหนิงหลินมองเงาลี่จินกับลี่อินสาวใช้คนสนิททั้งสองในกระจก หน้าตาของพวกนางแสดงออกถึงความสงสัยและเป็นห่วง ในฝันนั้นฟางหนิงหลินเองก็ได้เห็นจุดจบของพวกนางเช่นกัน เพราะลี่อินกับลี่จินยอมรับผิดแทนนางว่าเป็นคนวางยากำหนัดองค์รัชทายาทและเจียงเจียวซิน ทำให้ทั้งสองถูกโบยจนตาย ส่วนนางที่เป็นเจ้านายก็ถูกลงโทษกักบริเวณเพราะดูแลคนของตนเองได้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงฟางหนิงหลินก็เชื่อว่าสาวใช้ทั้งสองจะยอมตายเพื่อนางได้จริง ๆ เพราะทั้งสองเป็นราวพี่สาวที่เติบโตมาพร้อมกับนาง
ฟางฮูหยินมารดาของฟางหนิงหลินรับลี่จินกับลี่อินมาเลี้ยงตั้งแต่พวกนางอายุได้ราวห้าหกหนาวเท่านั้น ขณะที่ทั้งสองถูกขายให้หอนางโลมฟางฮูหยินได้ไปพบเข้า ฟางฮูหยินเห็นเด็กทั้งสองคนกับผู้เป็นแม่ร่ำไห้กอดกันอย่างน่าเวทนาจึงนึกสงสาร จึงได้ขอซื้อตัวเด็กทั้งสองมาจากหอนางโลม
ฟางฮูหยินไม่เพียงแต่รับซื้อลี่จินกับลี่อินมา ยังขอซื้อแม่ของพวกนางทั้งสองมาจากพ่อที่ติดการพนันของพวกนางอีกด้วย ถึงทั้งสามคนจะเข้ามาอยู่ในจวนในฐานะสาวใช้ แต่พวกนางก็อยู่ดีกินดีมีเสื้อผ้าสะอาดและที่นอนอันอบอุ่น อีกทั้งยังได้นั่งเรียนเขียนอักษรกับฟางหนิงหลินในตอนวัยเยาว์อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แม่ของทั้งสองได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะร่างกายที่อ่อนแอจากโรคเก่าที่รุมเร้ามายาวนาน
“พวกเจ้าคิดว่าความฝันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่” ฟางหนิงหลินเอ่ยถามสาวใช้ทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง
“คุณหนูยังกังวลเรื่องความฝันอย่างนั้นหรือเจ้าคะ อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเพียงฟังเรื่องเล่าจากร้านน้ำชาเมื่อวานและเก็บไปฝันเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยตอบ
“ฝันนั้นน่ากลัวมากเลยหรือเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาจากร้านน้ำชา คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าความฝันก็คือความฝันไม่มีทางเป็นจริง แต่วันนี้คุณหนูกลับไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลิน
“นั่นสิความฝันก็คือความฝัน คงเพราะมันน่ากลัวจนเกินไป แม้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วความรู้สึกก็ยังติดค้างอยู่ในใจ จนข้าไม่อาจลืมภาพที่เกิดขึ้นในฝันได้” ฟางหนิงหลินทำหน้าเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ลี่จินและลี่อินผ่านเงาในกระจก
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าคะ มันเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ หากยังทำหน้าเช่นนี้จะไม่สวยนะเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หากคุณหนูกลัวว่าเรื่องในฝันจะเกิดขึ้น ท่านก็เพียงป้องกันไว้ก่อนก็ได้หนิเจ้าคะ หรือจะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้าก็ย่อมทำได้” ลี่อินเอ่ยเพื่อปลอบประโลมฟางหนิงหลินให้นางคลายกังวล
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงคุณหนูค่อยมาเล่าเรื่องราวในฝันให้พวกเราฟังและช่วยกันหาทางแก้ดีหรือไม่เจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินพยักหน้าตอบรับนางจึงเอ่ยต่อ
“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องปล่อยวางความฝันนั้นลงก่อน และกลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสไร้กังวลคนเดิมของพวกเราก่อนนะเจ้าคะ”
ฟางหนิงหลินยกยิ้มขึ้นและนั่งนิ่งให้ทั้งสองแต่งหน้าทำผมให้จนเสร็จ เมื่อถึงเวลาฟางหนิงหลินก็เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมบิดาและมารดาของนางตามเทียบเชิญ
ณ.วังหลวง
เมื่อรถม้าจอดเทียบที่หน้าประตูวังเหล่าขุนนางและครอบครัวก็ต่างพากันเดินเข้ามาภายในวังที่ถูกจัดเตรียมงานไว้เป็นอย่างดี งานนี้เหตุผลที่จัดขึ้นนอกจากจะฉลองชัยชนะและสรรเสริญเหล่าผู้กล้าในสงคราม ยังมีเหตุผลอีกอย่างที่เชิญเหล่าครอบครัวขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือการดูตัว
ไทเฮาและฮองเฮาต้องการให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้มีโอกาสพบเห็นสตรีและบุรุษที่เป็นลูกหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อจะได้เลือกมาเป็นชายาและเป็นราชบุตรเขยในอนาคต
เพราะฮ่องเต้ทรงรับปากฮองเฮาพระองค์ก่อนไว้ว่าจะไม่บังคับให้เหล่าองค์หญิงและองค์ชายแต่งพระชายาหรือราชบุตรเขยอย่างไม่เต็มใจ ถึงไทเฮาและฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะไม่เห็นด้วยแต่จะคัดค้านคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายได้อย่างไร เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ พระชายาเอกและราชบุตรเขยย่อมต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางขั้นสูง ถึงจะบังคับตรง ๆไม่ได้ แต่สามารถเปิดโอกาสให้องค์หญิงและองค์ชายได้เจอเหล่าบุตรหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ได้