บทที่ 1
.
..
...
การเดินทางอันแสนยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้เกี้ยวเจ้าสาวพระราชทานจากฮ่องเต้แห่งแคว้นซวิ่นได้มาถึงหน้าตำหนักฉีหลิ่วกง ซึ่งเป็นตำหนักที่ประทับของเว่ยอ๋องหรือ ‘หลีเว่ยเปี่ยว’ ด้วยความที่เป็นคนเรียบง่ายไม่ชอบความวุ่นวายและหรูหรา จึงไม่ได้มีการตกแต่งตำหนักแต่อย่างใด เป็นเช่นใดก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เหวินกงกงมิได้ประหลาดใจนักเพราะรู้จักอุปนิสัยของอ๋องพระองค์นี้ดีอยู่แล้ว
หากทว่าถึงอย่างนั้นเจ้าตัวเองก็ยังคงสวมใส่ชุดเจ้าบ่าวเต็มยศสีแดงชาด ดูสง่างาม สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้แห่งแคว้นซวิ่น เว่ยอ๋องเดินมารับเจ้าสาวด้วยพระองค์เอง สีหน้านั้นไม่ได้บ่งบอกว่ามีความสุขแต่อย่างใด ยังคงเรียบเฉยเหมือนไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับตนเอง
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
“สบายดีนะท่านเหวินกงกง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทส่งกระหม่อมมาเป็นตัวแทนพระองค์น้อมส่งพระชายามาร่วมพิธีเสกสมรสพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเสด็จพี่จึงประทานชายามาให้ข้าโดยไม่ถามความเห็นเสียก่อน รู้หรือไม่ว่าข้าอึดอัดใจ แต่ก็ช่างเถอะถึงอย่างไรก็มาถึงแล้ว เชิญเข้ามาในตำหนักก่อน”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ในระหว่างที่เหวินกงกงและเว่ยอ๋องกำลังสนทนากัน จางลี่ได้ยินทุกประโยคอย่างชัดเจน รู้ดีว่าฝ่ายชายนั้นไม่ชอบใจนักที่จู่ ๆ ก็ต้องกลายเป็นเจ้าบ่าวอย่างกะทันหัน ในเมื่อตอนนี้นางมีโอกาสแล้วก็จะต้องทำให้เต็มที่ อย่างน้อยก็เพื่อฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ซึ่งให้โอกาส ช่วยเติมเต็มสิ่งที่นางใฝ่ฝันมาตลอดทั้งชีวิต
เจ้าบ่าวไม่แม้แต่จะสนใจมอง ไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาทักทายนางเลยสักนิด จนกระทั่งพิธีการได้ผ่านพ้นไปด้วยความอึดอัดใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการแล้วเหวินกงกงก็กลับไปยังแคว้นซวิ่นทันที เพราะมีภารกิจสำคัญที่จะต้องทำ
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เมื่อตอนนี้นางนั่งอยู่บนเตียงแล้ว รอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมสีแดงออกจากศีรษะ มันเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นและกลัวไปพร้อมกัน นางคิดเอาไว้แล้วว่าหากอีกฝ่ายเปิดออกมาแล้วเห็นใบหน้าของนาง คงจะมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากบุรุษอื่นที่เคยเห็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางได้ขึ้นชื่อว่าเป็นชายาของเว่ยอ๋องอย่างสมบูรณ์แล้ว
นั่งรอเป็นเวลานานแล้วหากทว่าเว่ยอ๋องไม่ยอมเข้ามาเสียที จึงคิดว่าค่ำคืนนี้อีกฝ่ายคงไม่เข้ามาหาแล้ว ตัดสินใจดึงผ้าที่ปกปิดใบหน้าออก เพื่อจะได้ถอดชุดเจ้าสาวและเข้านอนเสียที เพราะการเดินทางต่อเนื่องนานหลายชั่วยามทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไม่น้อย กำลังจะเปิดผ้าอยู่แล้วเชียวทว่าเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จางลี่หายใจไม่ทั่วท้อง มองผ่านผ้าผืนบางที่ปกปิดใบหน้าก็พบว่าเว่ยอ๋องนั้นกำลังเดินกอดอกมาหาตนเองอย่างช้า ๆ แล้วหยุดตรงหน้า ไม่ยอมพูดจาใด ๆ เอาแต่จับจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา
“เจ้าเป็นคนประเภทไหนกัน จึงยอมให้เสด็จพี่จับแต่งงานกับข้าได้”
“หม่อมฉัน...แค่อยากจะมีสามีดี ๆ สักคนเพคะ”
“แล้วเหตุใดต้องเป็นข้า”
“เรื่องนั้นเป็นพระวินิจฉัยของฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันมิได้เรียกร้องว่าต้องเป็นท่านอ๋อง แต่หม่อมฉันก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกัน”
“เจ้าปฏิเสธได้ แต่เจ้าไม่ยอมปฏิเสธมากกว่า!” ดูเหมือนว่าฝ่ายชายนั้นจะอารมณ์เสียไม่น้อย จางลี่ตกใจกับเสียงตะคอกนั่นจนสะดุ้ง มือทั้งสองข้างที่ประสานกันบนตักสั่นยิ่งขึ้นไปอีก
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยหากทำให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัย แต่หม่อมฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่ชายาของท่านอ๋องให้ดีที่สุดเพคะ”
“ข้าไม่ต้องการคำสัญญา เพราะข้าไม่มีทางแตะเนื้อต้องตัวเจ้า ชายาของข้าต้องเป็นคนที่ข้ารักเพียงเท่านั้นแต่เจ้าไม่ใช่ ข้าจะยังคงให้เกียรติเจ้าในฐานะชายาเพราะเห็นแก่เสด็จพี่ แต่เจ้าจะไม่ได้รับการยอมรับจากข้า”
“หม่อมฉันจะทำให้ท่านอ๋องรักให้ได้”
ไม่รู้อะไรดลใจให้จางลี่กล่าวเช่นนั้นออกไป นางนึกโทษที่ปากไวกว่าความคิด รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้
“นี่หรือสตรีที่เสด็จพี่ส่งมาให้เป็นชายาข้า ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยสักนิด” สายตาอันเหยียดหยามถูกส่งไปให้เจ้าสาวของตน ที่ไม่แม้แต่จะอยากเห็นหน้า จึงไม่ยอมเปิดผ้าคลุมหน้าของนาง
“หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีบ้านป่า ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ รู้สึกอย่างไรก็พูดออกไปตามตรง หากมันทำให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัย หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
“ข้าไม่ถือ เพราะข้าไม่เคยสนใจเจ้าอยู่แล้ว ต่างคนต่างอยู่ ห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับข้าเว้นแต่จะได้รับอนุญาต ข้าได้เตรียมบ่าวรับใช้ไว้ให้แล้ว หากมีอะไรให้เรียกนางได้ตลอดเวลา” กล่าวจบแล้วก็เดินเอามือขัดหลังจะออกไปจากห้อง ทว่าจางลี่ได้เรียกเอาไว้เสียก่อน วันนี้เป็นวันแรกของงานวิวาห์แล้วเหตุใดอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมาเปิดผ้าคลุมหน้าออก อย่างน้อยก็ทำหน้าที่เจ้าบ่าวให้สมบูรณ์แบบเสียก่อนแล้วค่อยไป