บทที่ 3 ตบปาก
“ได้ยินว่าเมื่อคืนหลังจากปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องเสร็จ ท่านพี่ก็ถูกท่านอ๋องกักบริเวณเลยหรือ?”
ซูอวี้เอ๋อร์ยกยิ้มเพียงเล็กน้อย แววเย้ยหยันเขียนอยู่เต็มหน้า
นางประคองระย้าประดับปิ่นปักผม เดินเข้ามาอย่างอ่อนช้อย “ท่านพี่อย่าถือสาเลย ท่านอ๋องเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนง่าย สตรีทั่วไปคุมอารมณ์เขาไม่ได้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ต่อไปนี้ เจ้าต้องทำตัวให้ชินนะ”
ในถ้อยคำ นางก็ยังคงพูดเหมือนตนเองเป็นนายหญิงของจวน แทบจะไม่เห็นหวางเฟยที่ถูกแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามประเพณีอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
หากเป็นความเคยชินในอดีต หลังจากที่ซูอวี้เอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ เซ่เชียนฮวนจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อาละวาดจนเรื่องไปถึงหูท่านอ๋องและถูกลงโทษอย่างหนักหน่วง
แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หวางเฟยผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานผู้นี้กลับนิ่งสงบ ราวกับไม่ได้ยินที่นางพูดอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านพี่?” ซูอวี้เอ๋อร์ลองหยั่งเชิงถามนางอีกครั้ง
เซ่เชียนฮวนไม่ได้ตอบ แต่หันไปถามชิงถิงว่า “แปลกจัง ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าตัวเองมีน้องสาวด้วย ชิงถิง เจ้าว่าข้ากับนางหน้าตาคล้ายกันไหม?”
ชิงถิงเอ่ยพูดอย่างลังเล “ไม่ ไม่เหมือนเจ้าค่ะ”
“ใช่สิ หน้าตาของนางมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าด้อยกว่าข้าหลายระดับ จะมาเป็นน้องสาวของข้าได้อย่างไร”
เซ่เชียนฮวนยิ้มร่าออกมา หยิบถ้วยน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา คราแรกว่าจะดื่มสักคำ แต่เมื่อครู่นางเพิ่งล้วงคออ้วกมาจึงรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เลยต้องวางถ้วยลงพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“หน้าตาข้ามันทำไมหรือ?”
ตอนแรกซูอวี้เอ๋อร์ยังไม่เข้าใจ
แต่นางไม่ได้โง่ ไม่นานก็เข้าใจความหมายโดยนัยได้ สีหน้าจึงแปรเปลี่ยน ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความริษยา
หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา นางสู้เซ่เชียนฮวนไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
แม้นว่านังบ้าปัญญาอ่อนนี่จะไม่ได้หนังสือ แต่ใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์นั่นกลับงามล่มเมือง ผมดำขลับเป็นแพรไหม เสียอย่างเดียวคือนางชอบแต่งแต้มสีแดงบนแก้มของตนจนเกินเหตุ จนทำให้หน้าตาไม่น่ามอง
ตอนนี้เซ่เชียนฮวนแตกเนื้อสาวสะพรั่ง ดวงตาทั้งสองข้างทอประกายดั่งดวงดาว อย่าว่าแต่ซูอวี้เอ๋อร์เลย ต่อให้หาหญิงงามมาทั้งเมืองหลวง เกรงว่าก็คงไม่อาจหาคนที่โดดเด่นเช่นนี้ได้
“นี่แม่นาง เจ้าเอากระจกไปส่องดูตัวเองเถอะ แล้วค่อยมามองข้า เจ้าจะได้รู้ว่าหน้าตาของเจ้าเป็นอย่างไร” เซ่เชียนฮววนเอ่ยพูดอย่างยั่วยุ
ซูอวี้เอ๋อร์หน้าเขียวคล้ำ เอ่ยพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ที่แท้คุณหนูจวนอานติ้งโหวก็ปากร้ายเช่นนี้เองหรือ ไม่ต่างอะไรกับคนป่า”
เซ่เชียนฮวนตบมือลงบนโต๊ะ “ใครอนุญาตให้เจ้ามากล่าววาจาล่วงเกินข้าเช่นนี้? ชิงถิง ลากตัวนางออกไปตบปากซะ”
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ชิงถิงจะส่ายหน้า แล้วเอ่ยพูดเสียงเบาว่า “นายหญิง ทำเช่นนั้นท่านอ๋องจะไม่พอใจเอานะเจ้าคะ”
“น่าขำสิ้นดี เขาจะพอใจหรือไม่พอใจแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า”
เซ่เชียนฮวนขมวดคิ้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองต้องเจอเมื่อคืนนี้ นางก็รู้สึกสะอิดสะเอียน จนแทบอ้วก!
สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นมีให้มีแต่ความอัปยศและเจ็บปวด
เดิมทีนางก็ทรมานมากพอแล้ว ทั้งร่างกายยังอ่อนแอ ตอนนี้ยังจะมาถูกคนรักเก่าของเขาตามมาเย้ยหยันถึงที่อีก เซ่เชียนฮวนรู้สึกว่าตนเองซวยมามากพอแล้ว
หากมีโอกาสล่ะก็ นางจะต้องหนีออกไปจากสถานที่ห่าเหวนี้ให้จงได้
ยิ่งคิดเซ่เชียนฮวนก็ยิ่งโกรธ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ฟังนะ ข้าไม่สนว่าเจ้ากับเซียวเย่หลันจะมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน พวกเจ้าอยากไปเสวยสุขอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่พวกเจ้า ขอแค่อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า ให้เกะกะลูกตาข้า!”
ซูอวี้เอ๋อร์ชะงักนิ่ง นางคิดไม่ถึงเลยว่าเซ่เชียนฮวนจะพูดจาออกมาเช่นนี้
ทุกคนต่างก็รู้กันดี ว่าเซ่เชียนฮวนลุ่มหลงเซียวเย่หลันมากเพียงใด ถึงขั้นลงทุนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองเขา แต่เหตุใดจู่ๆถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ล่ะ?
ซูอวี้เอ๋อร์กำลังจะเอ่ยพูด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งย่างกายเข้ามาภายในห้อง นางจึงรีบเปลี่บยโทนเสียง เอ่ยพูดอย่างนุ่มนวลว่า “หวางเฟย ท่านอย่าทำตัวเด็กเช่นนี้สิ ท่านอ๋องก็แค่วู่วามเลยขังท่านไว้ที่นี่ เขาไม่ได้รำคาญท่านจริงๆเสียหน่อย”