บทที่ 6 พบกันที่ศาลาโดยบังเอิญ
ดังนั้นสำหรับหงหลิง หลังจากนางสังเกตด้วยตนเองมาครึ่งเดือนแล้ว นางคิดว่าสามารถไว้ใจได้
ส่วนเหล่าสาวใช้และหญิงชราคนอื่นๆ ในเรือนดอกเหมยก็คงต้องรอดูกันต่อไป
ถึงอย่างไรก็มีดวงตามากมายเกินไป สุดท้ายดวงตาเหล่านี้เป็นของฝ่ายใด ตอนนี้นางก็ยังไม่แน่ใจ
ส่วนมู่จิ่งซีแต่ก่อน นางทำได้เพียงส่ายหัวยิ้มเยาะ ทำตัวล้มเหลวมากเกินไป และเป็นสตรีที่ยิ่งล้มเหลวมากขึ้นไปอีก!
มิน่าเล่าตั้งแต่ต้นจนจบฉู่เทียนฉือถึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย เป็นตนเองที่ไม่เป็นที่รักเลยจริงๆ!
แต่......สำหรับฉู่เทียนฉือผู้นี้ นางไม่มีอะไรจะวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับบุรุษที่มากชู้หลายเมีย ร่างกายและความคิดของนางมีความสามารถในการจัดการด้วยตนเอง และทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางร่างกายกับเขาให้มากที่สุด
ส่วนการพัวพันทางอารมณ์ก็ไม่ควรจะมีเหมือนกัน
แต่ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ ดูเหมือนว่าหากนางต้องการยืนอยู่ในจวนอ๋อง นางต้องทำอะไรสักอย่าง!
ในขณะครุ่นคิด เสียงของหงหลิงก็ดังขึ้นข้างๆ หู “พระชายา ข้างหน้ามีศาลา สามารถนั่งพักผ่อนได้พอดี และในทะเลสาบแห่งนี้ก็ยังมีปลาทองแหวกว่ายไปมาด้วยเพคะ”
“อืม ไปดูสิ” มู่จิ่งซีพยักหน้า เงยหน้ามองไปที่ศาลาตรงหน้า ยิ่งเดินไปข้างหน้าก็ยิ่งรู้สึกถึงลมเย็นที่พัดผ่าน
นั่งอยู่ในศาลาก็สามารถมองเห็นน้ำในทะเลสาบเป็นคลื่นระยิบระยับได้
เป็นอย่างที่หงหลิงพูด ปลาทองในทะเลสาบกำลังแหวกว่ายมาตามริมน้ำ น้ำในทะเลสาบใสแจ๋ว ปลาสีทองเป็นประกาย นางยกมุมริมฝีปากขึ้น และรอยยิ้มอันสง่างามก็ปรากฏบนริมฝีปาก
หงหลิงยืนอยู่ในที่แห่งหนึ่งและมองอย่างงุนงง ในยามนี้พระชายาไม่อาจละสายตาทั้งคู่ได้
เห็นได้ชัดว่ายังคงเหมือนเดิม แต่สงบนิ่งและสง่างามมาจากภายใน อีกทั้งในยามนี้นางยังสวมชุดสีเขียวมรกต กระโปรงจีบรอบลายดอกไม้ละอองน้ำหญ้าสีเขียว ผ้าคลุมสีเขียวมรกตบางๆ ขับให้ผิวพรรณละเอียดเกลี้ยงเกลาเหมือนกับดอกกล้วยไม้ แถมยังมีเสน่ห์อ่อนโยนอีกด้วย
หงหลิงคิดว่าหากท่านอ๋องได้เห็นพระชายาในยามนี้ จะต้องชำเลืองมองอย่างแน่นอน
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของหงหลิง มู่จิ่งซีก็หันหน้าไปมอง ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “วันนี้ข้ามีอะไรผิดปกติหรือ?”
“วันนี้พระชายางดงามมากเพคะ” แก้มแดงระเรื่อ หงหลิงละสายตาทันที และตอบอย่างตรงไปตรงมา
มู่จิ่งซียิ้มเล็กน้อย นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหงหลิงกำลังคิดอะไรอยู่
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่มู่จิ่งซีคนเดิม พฤติกรรม กิริยาท่าทาง และด้านอื่นจะเหมือนเดิมได้อย่างไร!
แต่ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร ตอนนี้มู่จิ่งซีคือนาง นางก็คือมู่จิ่งซี เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ในเวลานี้มีสตรีที่งดงามดั่งบุปผาและแต่งตัวดีสามนางเดิมมาอยู่ไม่ไกล
ทั้งสามคนพูดไปยิ้มไป เสียงหัวเราะอันอ่อนหวานดังอย่างต่อเนื่อง สาวใช้ที่เดินตามหลังทั้งสามคนสวมชุดสีเขียวเข้ม
“พระชายา เป็นฮูหยินใหญ่ ฮูหยินสาม และฮูหยินสี่เพคะ” หงหลิงก้มลงกระซิบข้างหูของมู่จิ่งซี ความกังวลในดวงตาหายไปจนหมดสิ้น
ฮูหยินทั้งสามรับมือได้ยากยิ่งกว่าฮูหยินรองเสียอีก ปกติแล้วจะคอยแอบขัดขาพระชายาให้ล้มลง และพระชายาก็ไม่สามารถทำอะไรพวกนางได้
ถึงอย่างไรพวกนางทั้งสามคนก็เจ้าเล่ห์เกินไป พระชายาไม่มีกลอุบาย ท้ายที่สุดก็เป็นพระชายาที่ต้องเสียเปรียบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จิ่งซีก็ถอนสายตาออกจากทะเลสาบ หันหน้าไปมองสตรีทั้งสามคนที่งดงามไม่แพ้กัน และงดงามแตกต่างกันออกไป
คนหนึ่งอ่อนช้อยและเสียงไพเราะน่าฟังที่สุด
คนหนึ่งบริสุทธิ์ดุจหยกราวกับสาวพรหมจรรย์ ก้มหน้าและหลบสายตาของผู้อื่นอย่างเขินอาย
คนหนึ่งรูปร่างเย้ายวน หน้าตาสะสวยกว่า ชอบบิดสะโพกและเอวบางๆ
ทั้งสามคนคือฮูหยินใหญ่ตู้เข่อ ฮูหยินสามฟางหรงเหมย และฮูหยินสี่ต้วนถิงเวย
เมื่อครู่ตอนที่เดินผ่านป่า พวกนางเห็นว่ามู่จิ่งซีกำลังชื่นชมทิวทัศน์อยู่ในศาลา
ทั้งสามคนหัวเราะเยาะในใจพร้อมกัน นางช่างอารมณ์ดี แถมยังออกมาชื่นชมทิวทัศน์อีกด้วย
หลังจากสังเกตเห็นสายตาของมู่จิ่งซี ทั้งสามคนก็แอบด่าในใจ ไม่มีอะไรทำก็แค่อยู่ในเรือนดอกเหมย ตอนนี้ออกมาเจอพวกนางก็ต้องคารวะ จึงก้มหน้าเดินไปที่ศาลาอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา รอยยิ้มบนริมฝีปากของมู่จิ่งซีก็ยังคงจางๆ
แต่หงหลิงร้อนใจ และกลัวว่าฮูหยินเหล่านี้จะมาโอ้อวดคุณหนูว่าได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องมากเพียงใด เมื่อถึงเวลานั้นพระชายาที่เพิ่งจะใจเย็นลงคงจะโกรธจนเสียสติ
“หม่อมฉันคารวะพระชายาเพคะ” ทั้งสามคนถอนสายบัวให้มู่จิ่งซีพร้อมกัน
มู่จิ่งซีมองดูด้วยความประหลาดใจ
ความชอบของท่านอ๋องผู้นี้ไม่เลวเลย ทั้งสามคนล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าบนใบหน้าจะทาชาดสีแดง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละคนล้วนเป็นหญิงงาม มิน่าเล่าฉู่เทียนฉือที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งถึงได้รับพวกนางมาเป็นอนุภรรยา
“น้องทั้งสามไม่จำเป็นต้องมากพิธี ลุกขึ้นนั่งเถิด” นางตอบด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองและอ่อนโยน
ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมองมู่จิ่งซีพร้อมกัน หลังจากแน่ใจว่าไม่เห็นสีหน้าบูดบึ้งบนใบหน้าของนางพวกนางก็นั่งลงด้วยความประหลาดใจ
ในขณะที่ฮูหยินใหญ่กำลังจะนั่งลง นางก็เหลือบมองหงหลิงที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่จิ่งซีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งลงอย่างสงบ
“วันนี้พระชายาทรงอารมณ์ดี มาชมดอกไม้ที่หน้าสวนดอกไม้นี้ เพียงแต่น่าเสียดาย หลายวันมานี้ท่านอ๋องไม่อยู่ในจวน ดังนั้นแม้ว่าจะอยู่ที่ลานหน้าสวนนี้ทั้งวันก็คงไม่ได้พบท่านอ๋อง” หลังจากฮูหยินสี่บิดเอวอันผอมบางแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจงใจบีบเสียงให้เล็ก
“วันนี้พระชายามีอารมณ์ออกมาชมทิวทัศน์ ร่างกายคงจะหายดีแล้วกระมังเพคะ สาเหตุที่ช่วงนี้หม่อมฉันไม่ได้ไปเยี่ยมพระชายาเลย หลักๆ คือกลัวว่าจะรบกวนการพักผ่อนของพระชายา หวังว่าพระชายาจะไม่ตำหนินะเพคะ” ฮูหยินสามเบิกตากว้างด้วยดวงตาที่ดูเหมือนใสสะอาด และพูดด้วยท่าทีเขินอาย
เมื่อฮูหยินใหญ่เห็นว่าทั้งสองคนเอ่ยปากพูด นางมองไปที่มู่จิ่งซีอย่างยิ้มแก้มปริ และพูดด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้พระชายารองเสิ่นก็พูดถึงพระชายาด้วย หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าพระชายาต้องไม่เป็นไร ในที่สุดก็ปล่อยวางสิ่งที่ค้างคาใจมาหลายวันลงได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของนาง ฮูหยินสามและฮูหยินสี่ที่นั่งอยู่กับนางก็แอบหัวเราะเยาะ นี่ตู้เข่อกลัวพระชายาหรือ?
ซ่งเสวี่ยเสียเปรียบ ต้องโทษที่นางโง่เขลาเกินไป พวกนางจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกันอีกอย่างแน่นอน
พระชายามีนิสัยอย่างไร พวกนางรู้ดียิ่งกว่าใคร
ประเด็นสำคัญที่สุดคือในใจของท่านอ๋องไม่มีพระชายาอยู่เลย!
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาท่านอ๋องไม่เคยแตะต้องนางเลย ไม่เหมือนพวกนางอนุภรรยาทั้งสี่ที่ได้เจอท่านอ๋องบ่อยๆ!
จวนอ๋องทั้งจวนอยู่ในมือของพระชายารอง พวกนางมีอะไรต้องกลัว?!
พระชายารองเสิ่นเป็นคนอ่อนโยนและใจกว้าง ขอแค่พวกนางเอาใจพระชายารองเสิ่น ต่อไปหากมีบุตรชายหรือบุตรสาวก็จะสมบูรณ์พูนสุขและเจริญรุ่งเรืองไปตลอดชีวิต
แต่ขอแค่มีพระชายาอยู่หนึ่งวัน ชีวิตของพวกนางก็จะไม่สงบสุข!
“ข้าหายดีแล้ว ลำบากให้พวกเจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว” มู่จิ่งซีตอบพร้อมกับยิ้มเบาๆ ราวกับว่าไม่สนใจการแอบโจมตีของพวกนางทั้งสามคน
หงหลิงพ่นลมหายใจออกมา ในที่สุดก็วางใจ ดูเหมือนว่านางจะคิดมากไป
ฉากนี้อยู่ในสายตาของฮูหยินใหญ่ตู้เข่อ นางก้มหน้าลงและกลอกตา
“ได้ยินมาว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อนท่านอ๋องไปเยี่ยมท่านพี่” ฮูหยินสามถามอย่างใสซื่อราวกับประหลาดใจมาก
มู่จิ่งซีพยักหน้า มีแสงแวบเข้ามาในส่วนลึกของตาดำ ทำให้มองไม่ชัด และตอบด้วยเสียงนุ่มนวล “ใช่ ท่านอ๋องมาเยี่ยมข้าพร้อมกับพระชายารองเสิ่น”