บทที่ 10 หนังสือหย่า
แม่นมเซี่ยงงงวยแล้ว
ฉู่เซี่ยอยากไปหาท่านอ๋องด้วยตัวเอง? ไปหาท่านอ๋องทำอะไร?
ไม่ว่าอย่างไร นางไม่อาจให้ฉู่เซี่ยชิงฟ้องก่อนได้เด็ดขาด
เรือนหลัก
หอเฉิงเซียวเป็นบริเวณที่โอ่อ่าที่สุดของทั้งตำหนักอ๋อง เพียงแค่ห้องหนังสือก็ยึดครองเนื้อที่หลายร้อยตารางเมตร
ร่างกายอันกำยำของตี้เซินยืนอยู่หน้าชั้นตำรา กำลังพลิกอ่านตำราแพทย์โบราณ รอบตัวเผยความน่าเกรงขามที่ผู้คนห้ามเข้าใกล้ออกมา
ฉู่เหลียนเอ๋อยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือคอยเทชาให้เขา หน้าตางดงาม ประณีตละเอียดลออ
โดยเฉพาะผิวพรรณขาวใสดุจหิมะนั้น มีความงดงามอันบริสุทธิ์ไร้ราคี
พอยืนอยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาก็ยิ่งงดงามจนแว่นแคว้นล่มสลายได้ พอจะบดขยี้สตรีทั้งโลกลงได้
เสียงของนางยังไพเราะประหนึ่งเสียงจากธรรมชาติ “อาเซิน เจ้าอ่านมาหลายวันแล้ว ควรพักผ่อนได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร”
ตี้เซินจดจ่ออยู่กับตำราแพทย์ในมือ ขมวดคิ้วยาวเล็กน้อย
หลายวันมานี้ เขาเชิญหมอทั้งหมดของแคว้นตงเซี่ยมา รวมทั้งหมอหลวง และเจียงหยุนจื่อหมอเทพอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ยังคงไม่มีผู้ใดวินิจฉัยพิษที่เขาโดนมาในวันนั้นออกมาได้
เขารู้สึกสงสัย
ฉู่เซี่ยที่ขี้ขลาดไร้ความสามารถ ใช้วิธีการอันใดกันแน่ ถึงทำให้เขาแขนขาอ่อนแรงอยู่บนเตียงหกชั่วยามเต็มๆ?
ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ จำเป็นต้องเค้นถามออกมาให้ได้
แต่ว่าผ่านไปเก้าวันเก้าคืน หญิงคลอดลูกคนหนึ่งที่ไม่มีคนใส่ใจ ไม่มีคนดูแล บางทีคงตายไปแล้ว
ขณะที่คิดอยู่ ด้านนอกประตูมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ลนลานลอยมา
“ฮือๆๆ......ท่านอ๋องเจ้าคะ ท่านกรุณาตัดสินให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ พระชายานางบ้าไปแล้ว......นางบ้าไปแล้ว......”
ตี้เซินขมวดคิ้วมองทางหน้าประตู ก็เห็นแม่นมเซี่ยร้องไห้พลางวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน
นางผมเผ้ายุ่งเหยิง มุมปากฉีกขาด ยังมีเลือดสดไหลลงมา
ฟันหลุดไปซี่หนึ่งแล้ว พูดจาไม่ชัดเท่าไหร่
ตี้เซินถาม “เกิดอะไรขึ้น? ฉู่เซี่ยบ้าไปแล้ว?”
นางควรจะตายแล้วไม่ใช่หรือ?
“ฮือๆ......”
แม่นมเซี่ยเช็ดน้ำตาแล้ว พูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“บ่าวก็คิดว่านางตายแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ตั้งใจเข้าไปเตรียมเก็บศพ แต่พวกเขาทั้งผู้ใหญ่และเด็กยังมีชีวิตอยู่ ยังกำลังกินเนื้อไก่ด้วยเจ้าค่ะ!
เป็นฉู่เซี่ยนางขัดขืนคำสั่งของท่านอ๋อง กระโดดออกไปขโมยอาหารจากหน้าต่างด้านหลัง กินแบบหน้าไม่อาย!
บ่าวแค่ตำหนินางไม่กี่คำ นางก็เตะต่อยทุบตีบ่าว ยังทำปิ่นของบ่าวหักด้วยเจ้าค่ะ!”
ตี้เซินหรี่ดวงตาดำขลับแล้ว ตกใจ คลุมเครือ
ฉู่เซี่ยมีชีวิตรอดแล้ว? ยังมีความสามารถอีกด้วย?
ในแววตาลึกของฉู่เหลียนเอ๋อที่อยู่ด้านข้างอึมครึมเย็นเยือกแบบที่ไม่มีคนสังเกตเห็น
ฉู่เซี่ยยังมีชีวิตอยู่? ดวงแข็งปานนั้นเชียว?
ตี้เซินเคยบอกว่า มีเพียงฉู่เซี่ยตายไปแล้ว ถึงแต่งนางเข้ามาในตำหนัก ให้นางเป็นพระชายาผู้มีเกียรติ......
นางเก็บสายตาไว้แล้ว รีบวางกาน้ำชาในมือลงแล้วเดินเข้าไปบอกว่า
“แม่นมเซี่ย เจ้าบอกว่าบาดแผลบนตัวเจ้าเป็นพี่หญิงทำร้ายมาหรือ?
เป็นไปไม่ได้......เป็นไปได้อย่างไรเล่า......พี่หญิงของข้านางขี้ขลาดต่ำต้อย จะไม่ลงมือทำร้ายผู้อื่นเด็ดขาด!
เจ้าใส่ร้ายพี่หญิง ไม่สู้ใส่ร้ายข้า......”
“แม่นางเหลียนเอ๋อ บ่าวไม่ได้พูดโกหกเจ้าค่ะ ฉู่เซี่ยนางเปลี่ยนไปแล้ว!
นางเปลี่ยนไปก้าวร้าวและเด็ดขาด พูดจาโอ้อวด ยังบอกว่าก็แค่ตบคนของท่านอ๋องเอง!”
แม่นมเซี่ยยิ่งคิดยิ่งโมโห พูดแบบใส่สีตีไข่
“นางบอกว่าตาบอดแล้วถึงชอบท่านอ๋อง อยากมาหาท่านอ๋องเพื่อชำระแค้นเจ้าค่ะ!”
ใบหน้าอันงดงามเย็นชาของตี้เซินอึมครึมลง “นางพูดเยี่ยงนี้จริง?”
“ใช่เจ้าค่ะ! นางบอกว่าเจ็ดปีมานี้นางทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องกลับกำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นไม่รู้จักดีชั่ว
ต่อไปนางจะเป็นคนชั่ว ชำระแค้นในเจ็ดปีนี้กับท่าน อยากให้ท่านชดใช้อย่างสาสมเจ้าค่ะ!”
เสียงดัง “ฟึ่บ”
ตำราโบราณที่หนาและหนักในมือของตี้เซินโดนเขาบีบเป็นก้อน รอบตัวแพร่กระจายความหนาวเหน็บออกมา
ฉู่เหลียนเอ๋อรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ภายนอกกลับควงแขนของตี้เซินไว้บอกว่า
“อาเซิน เจ้าอย่าโมโหเกินไป อย่าโมโหจนเสียสุขภาพของตนเองเป็นอันขาด
พี่หญิงนางคงเพราะเจ้าทรมานนาง ถึงได้คิดเยี่ยงนี้เป็นแน่
ไม่เช่นนั้นอาเซิน เจ้าอย่าทรมานนางเลย ส่งองครักษ์เงารีบทำให้นางหลุดพ้นโดยเร็วเถิด......”
ตี้เซินกลับหรี่ดวงตาดำขลับไว้ สีหน้าคลุมเครือและน่าสะพรึงกลัว
“ต่อว่าข้าเช่นนี้ ยังอยากหลุดพ้น? เหลียนเอ๋อ เจ้าช่างใจดีเกินไป”
ฉู่เหลียนเอ๋อเม้มริมฝีปากแล้ว ปิดซ่อนแผนการในสายตาไว้
น้ำเสียงนี้ของตี้เซิน หมายความว่ายังอยากเก็บฉู่เซี่ยไว้?
เขาอยากทรมานฉู่เซี่ย หรือทนฆ่าฉู่เซี่ยทิ้งไม่ลงกันแน่?
รู้สึกไม่สบายเท่าไหร่......
หลังจากนางขมวดคิ้วครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง จึงพูดแบบลองเชิง
“เช่นนั้นอาเซิน......เจ้าเขียนหนังสือหย่าแล้วไล่นางออกจากตำหนักอ๋องไป คืนอิสรภาพให้นางเถิด อย่าทำร้ายนางเด็ดขาดเชียว!”
แม่นมเซี่ยพอได้ยินคำพูดนี้ รีบพูดคล้อยตามทันที
“ใช่เจ้าค่ะ! ลอบสังหารท่านอ๋อง พูดจาสามหาวหลายหน ความประพฤติอันตราย ศีลธรรมเสื่อมทรามยิ่งนัก
ท่านอ๋องก็หย่ากับนางเสีย ให้นางไปให้พ้นตำหนักอ๋องเถิดเจ้าค่ะ อย่าให้นางแปดเปื้อนพื้นที่ของตำหนักอ๋องอีกเลย!”
แววตาของตี้เซินล้ำลึก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงขยับริมฝีปากบาง
“เตรียมกระดาษกับพู่กัน”
แม่นมเซี่ยรีบตามหากระดาษ และเปิดจานหมึกออก
ตี้เซินใช้มือหยิบพู่กันขึ้น เขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งด้วยลายมือสละสลวย
เขาหยิบหนังสือหย่าขึ้น ยื่นไปทางเฟยมู่องครักษ์ประจำตัวที่อยู่หน้าประตู
“นำหนังสือหย่าไปให้ฉู่เซี่ย แล้วไล่นางออกจากตำหนักอ๋อง”
“ขอรับ!”
เฟยมู่เดินเข้าไปรับหนังสือหย่า ก้าวเท้าแล้วอยากเดินไปด้านนอก
ฉู่เหลียนเอ๋อเบิกบานใจที่สุดแล้ว
ในที่สุดฉู่เซี่ยจะไสหัวไปแล้ว
แม้ว่าไม่ตาย แต่พระชายาที่สามีหย่าร้าง ซ้ำยังมีลูกติดคนหนึ่ง ชาตินี้อย่าได้คิดจะใช้ชีวิตดีๆ
ต่อไปนางจะเป็นพระชายาผู้สูงส่งกว่าคนอื่น ส่วนฉู่เซี่ยเป็นเพียงหญิงอัปลักษณ์ที่โดนทอดทิ้งคนหนึ่ง
ทันใดนั้น......
“ไล่ผู้ใดออกจากตำหนักอ๋อง?”
เสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งลอยมากะทันหัน