5. ลูกท้อแสนหวาน
ลูกท้อแสนหวาน
“ทะ...ท่านจวิ้นอ๋องเจ้าขา ขะ...ข้า ข้า อื้อ...”
นางส่ายสะบัดใบหน้างาม จิกเล็บลงบนไหล่หนาของเขาก่อนจะกระตุกเกร็งไปทั้งสรรพางค์กายด้วยความสุขสมที่โอบรัดจนนางแทบสำลักออกมา
ทาสสาวนอนหายใจระรวย ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำเยิ้ม ริมฝีปากยังคงบวมเจ๋อจากแรงจูบรุกเร้า ผมสวยของนางสยายเต็มโต๊ะอาหาร
นางน่ากินเหลือเกิน น่ากินจนเขาอยากจะทิ่มแทงเร่งเร้าตักตวงความสุขจากนางจนแทบขาดใจ แต่ไม่อาจทำได้ เขาไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ขืนใจนาง นางเจ็บช้ำมามาก ชีวิตต่อจากนี้เขาอยากให้นางได้พบแต่ความสุขเท่านั้น
หยาดน้ำที่จะไหลออกจากดวงตาของนางได้นั้นต้องมาจากความโสมนัสหาใช่ความโทมนัสอย่างเด็ดขาด
มือหนาค่อยๆ ประคองนางให้ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาบรรจงสวมให้นางอย่างเบามือ จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกระใบหน้าช้าๆ
“เหตุใดจึงเป็นข้าเจ้าคะ”
ซัวหวาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป มีทาสสาวมากมายในจวนของสกุลสวี และอีกสามตระกูลที่เขาไปกวาดล้าง แล้วเหตุใดเล่าจึงเป็นนางที่ได้รับสัมผัสอบอุ่นจากเขาราวกับความฝันเช่นนี้
“เพราะเป็นเจ้าจึงมีข้าในวันนี้ ต้องเป็นเจ้าคนเดียวเท่านั้น เพราะเจ้าเป็นของข้าเสมอมาและตลอดไป”
คำพูดกำกวมพร้อมกับค่อยๆ บรรจงจูบลงบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จวิ้นอ๋องฮ่านหลานจะหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป หญิงสาวทรุดฮวบกลับลงไปนั่งที่โต๊ะอีกครั้งอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรงที่จะหยัดยืน
ซัวหวาไม่เข้าใจในคำพูดเหล่านั้น แต่นางกลับรู้สึกว่าถ้อยคำที่เขาเอื้อนเอ่ยหวานหูประหนึ่งว่าเขากำลังบอกว่า ‘รัก’ เสียอย่างนั้น
พอคิดได้เช่นนั้นก็ใบหน้าแดงซ่าน นางยกมือกุมแก้มเอาไว้ แก้มที่ปริออกจากการยิ้มกว้างจนแทบจะฉีกไปถึงใบหูอยู่รอมร่อ
และท่าทางเช่นนี้ของนางก็ส่งผลให้สาวใช้ที่รีบเดินเข้ามาทันทีหลังจากที่จวิ้นอ๋องเดินออกไปก็ถึงกับพลอยยิ้มตามไปด้วย เดาได้จากข้าวของที่กระจุยกระจาย ท่านซัวหวาที่ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยสภาพราวกับเพิ่งผ่านการฟัดเหวี่ยงมาอย่างหนักหน่วง สาวใช้ที่ยังเป็นสาวไม่เคยออกเรือนก็พากันหน้าร้อนไปตามๆ กัน
“ท่านซัวหวาอาบน้ำก่อนเถอะเจ้าค่ะ ลุกไหวมั้ยเจ้าคะ”
สาวใช้สองนางหมายจะเข้าไปประคองหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่ง ทว่าซัวหวากลับลุกขึ้นยืนเองเสียก่อน แล้วทันใดนั้นนางก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
“ว้าย! ท่านซัวหวาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ขอโทษเจ้าค่ะ ขารู้สึกแข้งขาอ่อนล้าจนไม่มีแรงเลย”
คำพูดอย่างซื่อตรงแต่สื่อความหมายว่าจวิ้นอ๋องจัดหนักจนทาสสาวนางนี้ถึงกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ยิ่งทำให้เหล่าสาวใช้ถึงกับพลอยมือไม้อ่อนไปด้วย
แม่ทัพผู้ห้าวหาญ จวิ้นอ๋องผู้หล่อเหล่า ใครบ้างไม่รู้จักฮ่านหลานบุรุษรูปงามที่ไม่เคยชายตาแลสตรีนางใด ใบหน้าของเขามุ่งมั่นอยู่แต่คมดาบและคาวเลือด แต่บทจะคลั่งรักก็เร่าร้อนรุนแรงเสียจนจวนร้อนเป็นไฟ
“มาเถอะเจ้าค่ะ ให้พวกข้าช่วยนะเจ้าคะ”
สาวใช้รีบประคองนายหญิงของตนให้ไปอาบน้ำอุ่น ช่วยขัดถูร่างกายที่มีแต่รอยจูบแดงระเรื่อไปทั่วร่าง อีกทั้งทรวงอกขาวผ่องยังมีรอยริ้วมือจากแรงบีบเป็นปื้น ที่บั้นท้ายก็เป็นรอยแดงจ้ำๆ
“เจ็บหรือไม่เจ้าคะท่านซัวหวา”
สาวใช้ผิงผิงอดไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้นพลางลูบไล้ไปตามผิวนุ่มลื่นของผู้เป็นเจ้านายใหม่ อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านซัวหวาผู้นี้เคยเป็นทาสมาก่อนแน่หรือ เหตุใดจึงได้มีผิวพรรณผุดผาดเช่นนี้ แต่เมื่อเลื่อนไปเจอมือที่แตกระแหงและเท้าที่กร้านหยาบก็คลายสงสัยในทันที
หญิงงามก็คือหญิงงามต่อให้ต้องพบกับความลำบากแต่ก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนความงามลงได้ มือและเท้าที่แตกเหล่านี้หากบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะกลับมานุ่มนิ่มได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะทาสสาวอายุยังน้อยนัก
“นั่นสิเจ้าคะ ช้ำไปหมดทั้งตัวเลย”
สาวใช้เมิ่งหลันรีบสมทบถามบ้าง นางเองก็อยากรู้อยากเห็นไม่ต่างจากเพื่อนสาว ดูเหมือนว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของท่านอ๋องฮ่านหลานน่าสนุกเสียยิ่งกว่านิยายประโลมโลกที่นางกับเหล่าสาวใช้ชอบอ่านเสียอีก
“มะ...ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”
ซัวหวาตอบออกไปด้วยความเขินอาย ใบหน้าและหูแดงระเรื่อขึ้นมาอีกรอบเมื่อคิดถึงสัมผัสหวามที่จวิ้นอ๋องมอบให้เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
“ได้โปรดอย่าพูดสุภาพเช่นนั้นกับพวกข้าเลยนะเจ้าคะ หากใครมาได้ยินเข้า พวกข้าจะโดนตำหนิเอาได้ว่าลามปามผู้เป็นนาย”
“อะ...เอ่อดะได้สิ”
ซัวหวาไม่คุ้นชินกับการอยู่เหนือผู้ใด นางอยู่ต่ำสุดของห่วงโซ่วรรณะมาโดยตลอด ต้องก้มหน้าตามองปลายเท้า แล้วจู่ๆ นางก็ถูกพะเน้าพะนอราวกับแก้วเลอค่า
“ขัดผิวเสียหน่อยนะเจ้าคะผิวเนียนละเอียดอยู่แล้ว แต่ยังหมองอยู่เพราะโดนแดดโดนลมขัดเสียหน่อยจะได้ยิ่งผ่องกว่านี้ แล้วเดี๋ยวพวกข้าจะชโลมน้ำนมแพะและน้ำมันบำรุงผิวให้ท่าน เนื้อตัวจะได้นุ่มๆ ท่านอ๋องจะได้ยิ่งโปรดปราน”
เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องจะยิ่งโปรดปรานคนตัวเล็กก็ถึงกับหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีก เหตุใดกันทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดถึงเขา นางจะต้องซ่าร้อนไปทั้งร่างทุกที
มื้อเช้าในวันถัดมานางไม่ได้รับสำรับอาหารในห้องนอน แต่สาวใช้พาซัวหวาไปยังใจกลางสวนสวยที่มีต้นไม้ร่มรื่นเขียวขจี ที่ตรงนั้นมีโต๊ะหินอ่อนและอาหารมากมายวางเรียงรายให้ได้ลิ้มชิมรส
“น่ากินจัง”
ทาสสาวยิ้มกว้างจนดวงตาเล็กหยี มองอาหารตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนความสุขกำลังจะล้นทะลักออกมากจาปากเสียกระนั้น
“ถ้าสหายของข้าได้กินอาหารเหล่านี้ด้วยคงดีไม่น้อยเลย”
หญิงสาวบ่นพึมพำคิดถึงทาสคนอื่นๆ ที่เติบโตมาด้วยความแร้นแค้นไม่ต่างกัน ก่อนจะเปิดฝาหม้อดินเผาขนาดเล็กแล้วพบว่าภายในหม้อคือเนื้อแพะตุ๋นโสมบำรุงกำลังอย่างดี