สำรอง ที่ 4 น้องหญิง...ใช่หรือไม่
สำรอง ที่ 4
น้องหญิง...ใช่หรือไม่
สงสารจับใจ
จงฟางเหม่ยนั่งหน้ากระจกมองเงาสะท้อนตนเองด้วยสาวตาว่างเปล่า ปรับตัวเข้ากับเสื้อผ้าราคาแพงหรูหราและเครื่องประดับเลอค่างดงามของคุณหนูหวงหลูน่าอย่างเคยชิน เพราะถูกบังคับให้เป็นตัวสำรองคอยทำโน่นนี่แทนผู้เป็นนายอยู่เสมอ
การวางตัว กิริยามารยาท การเข้าสังคม ล้วนดีพร้อมไม่มีที่ติเพราะเฝ้ามองท่านอาจารย์คอยพร่ำสอนคุณหนูหวงมาตั้งแต่อายุสี่ขวบ นางแอบฝึกฝนทุกครั้งที่มีเวลาว่างและทำตามจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวร่างกาย กิริยาทั้งหมดจึงดูเป็นธรรมชาติไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง
จนครั้งหนึ่งเคยมีเหล่าฮูหยินที่มางานเลี้ยงจิบน้ำชาที่ฮูหยินหวงจัดขึ้น แอบซุบซิบนินทาจนดังเข้าหูว่า
‘ดูสิ..สาวใช้ตระกูลหวงมีท่วงท่าสง่า กิริยามารยาทงดงาม การวางตัวพอเหมาะพอควรไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ช่างแตกต่างกับคุณหนูหวงหลัวน่าเสียเหลือเกิน รายนั้นกระโดกกระเดกไม่มีความเป็นกุลสตรี ยิ่งยืนข้างกันยิ่งเกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจน’
‘แม้แต่ท่าทางการชงชาก็งดงามราวกับเป็นสตรีชั้นสูง ไม่น่าเชื่อเลยว่าตระกูลหวงจะมีสาวใช้ที่ราวกับเพชรเม็ดงามเช่นนี้’
แน่นอนว่าในเมื่อเข้าหูสาวใช้อย่างนาง มีหรือจะไม่เข้าหูคุณหนูหวง คืนนั้นหลูน่าโมโหจนตบตีสาวใช้ฟางเหมยตามเนื้อตัวใต้ร่มผ้าอย่างแรง แต่ไม่ยอมให้ถูกใบหน้าเพราะกลัวถูกบิดาจับได้ หญิงสาวเจ็บหนักจนถึงกับเป็นไข้นอนซมไปหลายคืน คุณหนูหวงไม่เคยมาดูดำดูดี สาวใช้คนอื่นๆ ก็เกลียดชังนางเป็นทุนเดิมจึงไม่คิดแยแส
ดังนั้นแม้แต่ยาต้มสักหยดนางก็ไม่ได้รับ นอนซมปวดร้าวไปทั้งร่างราวกับจะตายเสียให้ได้ หากตายไปเสียนางคงพ้นทุกข์พ้นโศก แต่ทว่า...โชคชะตาก็ใจร้ายกับนางเสียเหลือเกิน ร่างกายของนางค่อยๆ ฟื้นคืนจนรอดมาได้อย่างทุลักทุเลเพื่อประสบกับความเจ็บปวดอีกมากมายสารพัด
ฟางเหมยเฝ้าอดทนมาโดยตลอด และไม่คิดจะปริปากฟ้องใต้เท้าหวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยไม่อยากให้ผู้มีพระคุณต้องทุกข์ใจและเป็นกังวล
หากถามว่านางรักหวงหลูน่าหรือไม่ บอกได้เลยว่า ‘ไม่รัก’ อาจจะเคยหวังดีและมีความรู้สึกดีๆ ให้ตอนที่ทั้งสองต่างยังเป็นเด็กวิ่งเล่นสนุกสนานด้วยกัน แต่เมื่อยิ่งเติบโตหลัวน่าก็ยิ่งเกลียดชังและแสดงความอิจฉาริษยานางอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ว่าฟางเหมยจะไม่ได้เกลียดเจ้านายสาว แต่ก็ไม่รักไม่ชอบ มีเพียงความรู้สึกเฉยชา มองอีกฝ่ายอย่างระอาราวกับเป็นอากาศ นั่นเพราะหัวใจของนางบอบช้ำและเจ็บปวดมานานเกินพอแล้ว
หลายครั้งนางอยากหนีออกไปจากตระกูลหวง แต่เพราะนางรักใต้เท้าเจียงสงราวกับบิดา เพราะท่านมีเมตตา ใจดี อีกทั้งยังยุติธรรมต่อนางเสมอ เพราะมีใต้เท้าหวงนางจึงยังอดทนรับใช้สกุลหวงต่อไป
อีกทั้งยังสำนึกบุญคุณอยู่เสมอ หากไม่ได้ใต้เท้าหวงเก็บนางมาเลี้ยงดู ป่านนี้นางคงนอนตายอยู่ในห่อผ้าตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อยตัวแดงๆ
ในบางครั้งนางก็คิดอยากพบบิดามารดาผู้ให้กำเนิด อยากจะถามเหลือเกินว่าเหตุใดจึงทอดทิ้งนาง ยากจนขัดสนจนต้องทิ้งบุตรที่เพิ่งคลอด หรือเป็นเพราะนางเป็นเพียงก้อนเนื้อสกปรกที่ไม่ต้องการจึงได้นำมาทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
หญิงสาวปัดความกังวลและความฟุ้งซ่านทิ้งไป เมื่อหมิงจูเดินมาหวีผมให้นางอย่างทะนุถนอมเส้นผมทุกเส้น จากนั้นจึงรวบมัดไว้ครึ่งศีรษะแล้วบรรจงปักปิ่นมุกแวววาวประดับเรือนผมดำขลับอย่างชำนาญ
“เจ้าเป็นสาวใช้ตามจวนขุนนางบ่อยหรือ”
ฟางเหมยชวนคุย เพราะถึงอย่างไรนางและหมิงจูก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากถูกจับได้ทั้งสองก็คงต้องรับโทษประหารชีวิต ค่าของคนก็เป็นเช่นนี้แล ไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ ไม่มีเงิน ไม่มีตระกูลหนุนหลัง ค่าชีวิตจึงไร้ค่าไร้ราคา
“เคยทำงานอยู่จวนขุนนางท่านหนึ่งเจ้าค่ะ แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยจึงหลบหนีออกมา จากนั้นจึงทำงานในตลาดมืด รับจ้างทั่วไปมากกว่าสิบปีแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นสินะ...”
หญิงสาวเพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่แปลกใจที่หมิงจูมาจากตลาดมืด เพราะดูจากทักษะการโกหกและการเอาตัวรอด ถือว่าแพรวพราวใช้ได้ หากหมิงจูมีวรยุทธ์ติดตัวคงสามารถเรียกค่าจ้างได้มากกว่านี้
เวลาพักผ่อนที่แสนเรียบง่าย โดยการนั่งมองเหม่อท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางติดต่อกันหลายวันถึงกับยุ่งเหยิง เมื่อจู่ๆ...
“ท่านอ๋องอยากรับประทานอาหารเย็นกับคุณหนูขอรับ”
คนตัวเล็กถึงกับใจเต้นแรงที่จะต้องไปพบอ๋องจ้าวเฟิงก่อนเวลาที่เตรียมใจไว้ แรกทีเดียวพ่อบ้านต้องการให้นางพักผ่อนเพราะเดินทางรอนแรมมาหลายวันหลายคืนแล้วจึงจะเข้าพบท่านอ๋องในวันถัดไป แต่จู่ๆ พ่อบ้านก็เดินมาแจ้งด้วยตนเองว่าท่านอ๋องอยากพบนางเย็นนี้
“เจ้ารออยู่ข้างนอกตามที่ท่านพ่อบ้านบอกเถอะ ข้าจะเข้าไปคนเดียว”
“เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะรออยู่ตรงนี้ หากมีสิ่งใดเรียกใช้ได้โปรดเรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ”
จงฟางเหมยพยักหน้าน้อยๆ เพราะได้ฟังมาจากพ่อบ้านจวนสกุลซุนคร่าวๆ จึงเข้าใจได้ว่าท่านอ๋องที่บาดเจ็บหนักนั้นค่อนข้างได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จึงไม่ต้องการให้ใครอื่นเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวหากไม่ได้รับอนุญาต
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างรวบรวมความกล้าให้นำพาสองขาก้าวเดิน กดข่มความคิดถึงและความโหยหาไม่ให้เผยออกมาจนเกินงาม
ทันทีที่เรียวเท้าก้าวเข้าไปในเขตพื้นที่เรือนป่าไผ่ เสียงเป่าเหิงชุยแสนหวานก็ดังลอยมากับสายลมเย็นพัดกระทบใบหน้าหวานจนผ้าผืนบางที่ปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งปลิวสะบัดไปตามแรงลม
เขาอยู่นั่น...
ดวงตากลมโตเบิกกว้างไหวระริก นวลแก้มแดงระเรื่อเมื่อเห็นชายผู้เป็นรักแรกนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ กำลังเป่าเหิงชุยด้วยท่วงท่าสง่างามแม้ว่าดวงตาของเขาจะมืดบอดจนต้องปิดด้วยผ้าสีขาวเอาไว้ก็ตาม
คล้ายว่าหัวใจจะหยุดเต้น นางหยุดยืนมองเขาเนิ่นนานราวกับจะจารจำทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบถไว้ในหัวใจ เมื่อถึงคราวที่นางต้องส่งเขาคืนให้แก่คู่หมั้นตัวจริง นางจะได้หลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำเอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจที่แสนอาภัพนี้
เสียงเหิงชุยของเขาช่างไพเราะจับใจ ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้ฟังใกล้ๆ
‘ข้ามักเป่าเหิงชุยหลังจากต้องสังหารข้าศึก ปลดปล่อยความเศร้าไปกับเสียงคร่ำครวญหวีดหวิว แต่ยามนี้เมื่อข้าได้รักเจ้า ข้ากลับเป่าเหิงชุยด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป แม้ข้าจะเจ็บปวดที่ต้องสังหารมนุษย์ด้วยกัน แต่ข้ากลับภาคภูมิที่ได้ปกป้องความผาสุกของประชาชนในแว่นแคว้น และที่สำคัญข้าได้ทำหน้าที่ปกป้องหญิงอันเป็นที่รักที่กำลังเฝ้ารอข้าอยู่เบื้องหลัง’
ฟางเหม่ยยังคงจำถ้อยความในจดหมายของอ๋องสิบเอ็ดได้เป็นอย่างดี ตัวหนังสือของเขานั้นกดน้ำหมึกเข้มจนซึมไปถึงด้านหลังกระดาษ ตวัดหางพันกันยุ่งเหยิงแต่กลับให้ความรู้สึกน่าค้นหา ทุกถ้อยคำที่เรียงร้อยฉายชัดถึงความจริงใจส่งผ่านตัวอักษรตัวแล้วตัวเล่านานนับสองปี
นางแทบจะจำข้อความในจดหมายได้หมดทุกถ้อยคำ นั่นเพราะนางหยิบมาอ่านซ้ำๆ ทุกคราเมื่อคิดถึงเขา
แกร๊ก...
นางสาวเท้าก้าวเข้าไปหา เผลอเหยียบกิ่งไผ่แห้งจนเกิดเสียง และนั่นทำให้คนตัวโตที่กำลังหลบลี้หนีจากผู้คนเพราะความพิการถึงกับหยุดเป่าเหิงชุยทันที
“นะ...นั่นใคร!”
หยาดน้ำตาคลอดวงตาคู่สวยเมื่อเห็นว่าชายผู้เป็นที่รักเบือนใบหน้าตามเสียงเพื่อเงี่ยหูฟังว่าใครบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตที่ตั้งใจจะหลีกเร้นผู้คน
“ท่านพี่...ข้าเองเจ้าค่ะ”
“นะ...น้องหญิง นะ...นั่นเจ้าหรือ เจ้ามาหาพี่แล้วใช่หรือไม่”
คนตัวโตวางเหิงซุยลงบนตัก ก่อนจะยื่นมือออกไปเบื้องหน้าแสร้งทำเป็นว่าตาบอดมองไม่เห็นสิ่งใด แล้วโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว แม่ทัพหนุ่มก็ทำท่าจะลุกขึ้นก้าวเดิน ทว่าขาหักปลอมๆ ไม่อาจรับน้ำหนักได้ เขาจึงแสร้งล้มกลิ้งลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา
“ท่านพี่!”
ฟางเหมยหวีดร้องด้วยความตกใจ ถลาเข้าไปประคองแม่ทัพซุนจ้าวเฟิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว