บทที่ 8
และแล้ว เขาก็ปล่อยมือจากร่างเธอ แววแห่งความขบขันที่ได้ชัยชนะเหนือเธออย่างง่ายดายฉายชัดอยู่ในดวงตา
“เป็นอะไรไปล่ะ” เขาเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาอย่างเปิดเผย เมื่อเห็นแววในดวงตาของเธอฉายแสงแห่งความเกลียดชัง และขุ่นเคือง ขณะที่ธันยาหอบหายใจอยู่ “ทำไมมันไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนจูบของไอ้หมอนั่นใช่ไหม”
“คุณมันไอ้คนใจสกปรก” เธอตวาดใส่หน้า ก่อนที่จะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของเขาเต็มแรงจนแขนสะท้าน
ด้วยความเร็วราวกับการฉกของงูเห่า ที่เขาคว้าจับมือเธอไว้ได้ บีบจนธันยาต้องร้องร่ำออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งรวบเรือนผมของเธอไว้กระชากให้เข้ามาหาเขา
“ผมรู้ว่าคุณมันก็แกล้งวางท่าเป็นผู้ดีไปอย่างนั้น” เขาเยาะให้ “ถึงยังไงคุณมันก็ยังเป็นอีนางแมวป่าที่เลี้ยงไม่เชื่องอยู่นั่นเอง แมวป่าตัวที่ผมเอาเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อเจ็ดปีที่แล้วไงล่ะ”
“ปล่อยฉันนะ” เธอตวาดเสียงสั่น ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ด้วยความโกรธและความเจ็บจากการที่เขารั้งใบหน้าของเธอให้แหงนหงายขึ้นไว้ เพื่อที่จะบังคับให้เธอต้องจ้องมองหน้าอยู่อย่างนั้น
“ปล่อยเธอเถอะลูก” เสียงสงบของ เจ.ดี.แลสสิเตอร์ดังมาจากเบื้องประตูที่เปิดออกสู่เฉลียง
“เดี๋ยวก่อนครับพ่อ” เจคก้มลงมองร่างเล็ก ๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของตน น้ำเสียงที่ตอบบิดาบอกความโอหังอยู่ “ผมต้องการจะให้มั่นใจกว่านี้อีกสักหน่อยว่า เมียผมเขามีความรู้ดีว่าการที่ผมได้กลับมาเยี่ยมบ้านครั้งนี้น่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ดีขนาดไหน”
อ้อมแขนที่โอบร่างเธอไว้คลายความกระชับลง เปลือกตาของธันยาหรุบลง เมื่อตระหนักด้วยความรู้สึกยินดีว่า อีกไม่ช้าไม่นานเธอก็จะได้รับการปลดปล่อยจากอ้อมแขนที่กักขฬะนี้แล้วและในทันใด ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงบนเรียวปากของเธออีกครั้ง มันเป็นจุมพิตที่แฝงฝังอยู่ด้วยพลังอำนาจบอกถึงความเป็นเจ้าของในตัวเธออย่างเปิดเผย ธันยามิได้สนองตอบหรือขัดขืนในจุมพิตนั้น ไฟอารมณ์ประทุนั้นด้วยสัมผัสที่เขามอบให้แต่ทว่า มันก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เธอจะสะบัดร่างออกจากวงแขนของเขา
ความโกรธฉายฉานอยู่ในดวงตาคู่สีน้ำตาลซึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นในลำคอของเจค แตะปลายนิ้วลงตรงปลายจมูกของเธออย่างจะล้อเล่น
“นั่นคือวิธีการที่ผู้หญิงจะต้องต้อนรับเมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน จำไว้ด้วยนะจ๊ะที่รัก” เขายิ้มกว้างให้ และแล้วก็เบือนหน้าเสียจากเธอ ก่อนที่ธันยาจะตอบอะไรได้ทัน ออกเดินตรงไปยังซึ่งบิดายืนอยู่
“ผมดีใจจริงๆ ครับพ่อที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้ง”
ธันยาจับตามองความอบอุ่นในการต้อนรับระหว่างบิดากับลูกชายคนเดียวอยู่ ร่างของเธอสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์มือทั้งสองกำแน่นอยู่ข้างตัว
“พ่อก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงเหมือนกัน ว่าพ่อดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นหน้าแกอย่างนี้นะเจค” เจ.ดี.กล่าวด้วยความรู้สึกแรงร้อนมือของเขากับลูกชายกระชับกันอยู่มั่น ด้วยความยินดีอย่างเหลือจะกล่าว “แกกลับมาทันเวลาทีเดียว”
“ครับ ในระยะสองสามวันหลัง ๆ นี้ ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มีความคิดอยากจะกลับบ้านอยู่ตลอดเวลา” เจคยอมรับ ปลายตามองไปทางธันยาที่ดูเหมือนสีหน้าจะสดชื่นขึ้นกว่าเดิมบ้าง “แล้วก็ไม่อยากมาคืนไหนเท่าคืนนี้เลยครับ”
เรียวปากที่อาบเสน่ห์ของเธอเม้มแน่น ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อคำหลอกล่อของเขา ที่ต้องการจะให้เธอได้ชี้แจงแถลงไขถึงภาพที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ระหว่างเธอกับแพทริคออกมา เพราะเขาได้แสดงออกถึงความรู้สึกดูหมิ่นเหยียดหยามเธอมามากพอแล้ว
“แม่คงจะดีใจมากทีเดียวที่ได้เห็นหน้าแก” บุรุษผู้สูงวัยส่ายศีรษะช้าๆ รอยยิ้มเกลื่อนอยู่บนใบหน้า สายตามิได้ละจากใบหน้าของลูกชายเลย ความรู้สึกดื่มด่ำทั้งหลายทั้งมวลปรากฏชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น “รู้อย่างนี้ พ่อไม่จัดงานปาร์ตี้ขึ้นมาหรอก” เจ.ดี. พูดด้วยเสียงสะท้านอารมณ์ “เวลานี้พ่ออยากจะไล่พวกแขกให้กลับบ้านกันเสียให้หมดด้วยซ้ำ”
“แล้วพ่อก็จะล้มวัวเพื่อเลี้ยงฉลองการกลับมาบ้านของผมอย่างนั้นใช่ไหมล่ะครับ เจคถามยิ้ม”
“อ้าว ... ถ้าพ่อรู้ตัวล่วงหน้าก็คงจะต้องทำจริงๆ นั่นแหละ” พ่อของเขากล่าวตอบในทันที “เออ... เธอรู้ไหมธันยา” เจ.ดี.เบือนหน้าไปทางลูกสะใภ้ ปล่อยมือที่เกาะกุมมือของเจคลง “ว่านี่น่ะ เป็นของขวัญชิ้นสำคัญในวันครบรอบวันแต่งงานของเราเชียวนะ”
จากสายตาของพ่อสามีที่มองมานั้น แววหนึ่งที่ธันยามองเห็นก็คือ แววแห่งความมั่นคงพร้อมที่จะพิทักษ์ปกป้องและเหมือนจะยืนยันว่าเธอจะมิได้รับอันตรายใด ๆ จากลูกชายของเขาอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้ฤทธิ์แรงของความโกรธที่แฝงอยู่ในอารมณ์จางลง
เธอส่งยิ้มให้เขา แต่ก็เป็นยิ้มที่เหลือฝืนเต็มทีเพียงแต่ต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่เธอมีต่อเขาเท่านั้น
“ใช่ค่ะ ฉันเองก็แปลกใจพอ ๆ กับคุณพ่อเหมือนกัน” เธอตอบ
“จริงครับ พ่อ” ดวงตาของเจคเหมือนจะรั้งรออยู่กับนวลหน้าของภรรยาเป็นครู่ มันมีแววของความกระด้างแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด “แต่ผมคิดว่าธันยาเขาคงแปลกใจมากกว่าพ่อแน่ครับ”
ธันยาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เครียดเคร่งประหนึ่งมีประจุกระแสไฟฟ้าลอยล่องอยู่ในบรรยากาศและแล้ว เจ.ดี. ก็เดินเข้ามาโอบไหล่เธอไว้
“แกรู้หรือเปล่าเจค ว่าเมียแกน่ะเหมือนเพชรที่ล้ำค่าเชียวละ”
เสียงประตูบานเลื่อนที่เปิดออกสู่ลานเฉลียงดังขึ้น ซึ่งทำให้ดวงตาของบุคคลทั้งสามต้องเหลือบมองไปทางร่างของสตรีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน
“หวัดดีครับ แม่” เจคส่งเสียงทักทายขึ้นก่อน
จูเลีย แลสสิเตอร์ ยกมือขึ้นขยี้ตา
“เจค” น้ำเสียงของเธอแตกพร่า ขณะที่สาวเท้าก้าวเข้ามาหาเขา
“ผมกลับมาแล้วครับ มาอวยพรให้แม่สุขสันต์ในวันครบรอบแต่งงานไงล่ะครับ” แล้วเขาก็โอบแขนลงบนไหล่ของมารดาที่กำลังยืนน้ำตาไหลพราก ๆ อยู่อย่างเอาใจ
ธันยารู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว เมื่อมองเห็นรอยยิ้มอบอุ่นยามที่เขาก้มมองผู้เป็นมารดา ก็รอยยิ้มเช่นนี้หรือมิใช่ที่ทำให้เธอต้องตามติดเขามาถึงที่นี่ เมื่อครั้งก่อน
“อย่าร้องไห้สิครับแม่ เลิกร้องได้แล้ว” เจคช้อนปลายคางของมารดาขึ้นไว้ด้วยปลายนิ้ว “รู้ไหมครับว่าน้ำตาน่ะ มันทำให้หน้าสวย ๆ ของแม่หมองหมด”
“แม่ร้อง เพราะดีใจนะลูก” จูเลียกล่าว ยิ้มทั้งน้ำตาให้ลูกชาย “แล้วนี่แกมาถึงเมื่อไหร่ล่ะ เจ.ดี. คุณรู้ล่วงหน้าหรือเปล่าว่าลูกจะกลับมาบ้านวันนี้น่ะ”
“ไม่เคยรู้เลยคุณแม่” เจ.ดี. ตอบภรรยา
“ผมไม่ได้บอกให้ใครรู้นี่ครับ” เจคอธิบายจุมพิตเบา ๆ บนแก้มที่ชุ่มน้ำตาของมารดา “เพราะผมเกรงว่า ถ้าบอกมาแล้วเกิดมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ผมมาไม่ได้ ทั้งพ่อและแม่จะเสียความหวังน่ะครับ”
“แล้วนี่จะอยู่นานสักเท่าไหร่ล่ะลูก” จูเลียถามพร้อมกับตวัดสายตามองไปทางธันยาอย่างคาดคั้น คล้ายจะเกรงว่า เธอจะเป็นต้นเหตุผลักใสไล่ส่งลูกชายคนเดียวให้ต้องไปจากบ้านนี้อีก
“ตอนนี้ ยังไม่รู้เลยครับแม่” ความกระด้างแฝงอยู่ในน้ำเสียงทันที
“โธ่เจค... แกควรจะ... ”
“เอาละ...เอาละ... คุณแม่” เจ.ดี. วางมือลงบนไหล่ภรรยาอย่างห้ามปราม “เรื่องนั้นเอาไว้พูดกันทีหลังเถอะน่า ตอนนี้ แค่ดีใจที่ลูกกลับมาถึงบ้านได้ก็พอแล้ว”
แลสสิเตอร์ทั้งสามคนดูจะให้ความสนใจในกันและกันมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับกันธันยาออกจากวงสนทนาโดยสิ้นเชิง อันที่จริง มันก็เป็นสิ่งที่เธอรู้อยู่แก่ใจมานานนักหนาแล้วว่าตนเองแทบจะมิได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้เลย การที่เธอทนอยู่ในบ้านหลังนี้ก็เพื่อจอห์นเท่านั้นและเธอก็เฝ้าเพียรบอกตัวเองมาโดยตลอดว่านั่นคือความต้องการของเธอเอง
เมื่อจูเลียเป็นผู้ที่ชวนลูกชายสนทนาอยู่แต่เพียงคนเดียวธันยาจึงค่อยๆ เลี่ยงหลบออกไปจากห้องนั้นด้วยการให้เหตุผลกับตนเองอย่างต้องการจะรักษาศักดิ์ศรี ว่าเธอต้องการไปดูลูกชาย แต่ทันทีที่ประตูปิดลงทางเบื้องหลังเธอก็ได้แต่เอนอิงพิงบานประตูนั้นไว้อย่างอ่อนแรง กระจกเงาฟากตรงข้ามสะท้อนให้เห็นภาพใบหน้าที่ซีดเผือดธันยายอมรับกับตนเองว่าการกลับมาบ้านโดยไม่คาดฝันของเจค ทำให้จิตใจของเธอระส่ำระสายยิ่งนัก
ความชอกช้ำขมขื่น ความอ้างว้างว้าเหว่ผุดพลุ่งปานจะทึ้งทำลาย ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายในจิตใจให้ย่อยยับลง รานร้าวในหัวใจอย่างเหลือพรรณนา