บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

มันก็เป็นสิ่งที่น่าแปลกอยู่ หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปถึงเจ็ดปีโดยปราศจากการโลมเล้าเอาใจจากบุรุษผู้ได้ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีจนกระทั่ง เธอได้พบกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเธอได้เผลอรักเขาเข้าไปแล้วครึ่งใจ ในค่ำคืนวันนี้ผู้ชายทั้งสองคนได้ฝากรักเธอด้วยจุมพิต ถึงสามครั้ง ในเวลาที่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก มันน่าจะเป็นเรื่องตลกขบขันเสียมากกว่า ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่มีความรู้สึกรานร้าวเข้ามาเป็นตัวบังคับ และเพราะความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้เธอบังความอับอาย บังเกิดความไม่พอใจในตัวเองขึ้นมา

ความปรารถนาในเลือดเนื้อนั่นเองที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่เธอหวนหาจากผู้เป็นสามีซึ่งถือสิทธิในตัวเธอ พอ ๆ กับจุมพิตอันอ่อนโยนของผู้ชายคนใหม่ที่ก้าวเข้าสู่ชีวิต...แพทริค เรนเนส คนนั้น

บัดนี้ ธันยาได้ตระหนักแล้วว่าประสาทในเรือนกายของเธอนั้นสามารถจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของไฟเสน่หาได้ง่ายเพียงไรตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอมีความเชื่อในตนเองว่า เธอมีความสามารถอย่างเพียงพอในการที่จะระงับจิตใจของตนเองไว้ได้ แต่เจค แลสสิเตอร์เป็นบุคคลอันตรายยิ่งนัก และขณะนี้ดูเหมือนจะมากกว่าครั้งใด ๆ ที่เคยเป็นมา เพราะดูเหมือนจะมีความเหี้ยมโหดแฝงอยู่ในเจตนาของเขาด้วย ปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกนั้น บอกให้รู้ได้โดยง่ายว่าเขาจะต้องได้ในสิ่งที่ตนต้องการ การใช้ชีวิตอยู่ในท้องถิ่นที่ความศิวิไลซ์ยังไปไม่ถึงในทวีปแอฟริกาทำให้ความเป็นผู้เจริญของเขาลดน้อยลง

ช่วงเวลาแห่งความสับสนที่สถานการณ์แปรผันได้ผ่านไปแล้ว ขณะนี้ธันยาสามารถสงบสำรวมจิตใจของตนเองอีกครั้งความโกรธแค้นได้เริ่มจางหายไป มือที่เอื้อมไปหยิบแปรงสำหรับแปรงผมขึ้นมาจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้งหายสั่นแล้ว เพียงแปรงเร็ว ๆ สองสามครั้งเรือนผมสีน้ำตาลแกมทองก็ลงมาเคลียอยู่กับช่วงไหล่ตามแบบเดิมแม้ว่าหนังศีรษะยังตึงอยู่ โดยเฉพาะตรงส่วนเรือนผมถูกเขาจับกระชาก

ประตูห้องน้ำ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องนอนเป็นประตูที่เปิดติดต่อเข้าสู่ห้องของจอห์นได้ ธันยาเปิดประตูนั้นย่องเข้าไปในห้องของลูกชาย และเห็นจอห์นกำลังนอนหลับสนิทอยู่ โคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงเปิดทิ้งไว้ แต่โทรทัศน์ปิดแล้วความรักอันเหลือจะประมาณทำให้รอยยิ้มฉาบขึ้นบนเรียวปากขณะที่เธอเอื้อมไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างที่อยู่ในชุดนอนให้

เธอยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้องนั้นอีกเป็นครู่ ก่อนที่จะปัดจุมพิตเบา ๆ ลงบนหน้าผากกระซิบเบา ๆ ว่า

“กู๊ดไนท์” ก่อนที่จะเอื้อมมือไปปิดไฟ และเดินกลับออกมาจากห้อง

แต่ทันใด เธอก็ต้องเย็นเยือกไปทั้งตัว เมื่อเห็นร่างที่ทอดตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงแสงไฟที่สาดสว่าง ไปทั่วทั้งห้องทำให้มองเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววเยาะหยันยามที่เจค เบือนมองมาทางเธอ ผ้าต่วนคลุมเตียงสีฟ้าใสตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมใส่อยู่ อย่างเห็นได้ชัด พลังแห่งความเป็นชายชาตรีปะทะเข้ากับความรู้สึกทางอารมณ์จนงงงันไป

“เป็นไง จะไม่ไล่ผมลงจากเตียงหรอกหรือ” เขาเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม

ธันยากล้ำกลืนคำพูดเผ็ดร้อนลงไว้ และเลือกใช้วิธีที่สงบว่า

“ทำไมฉันถึงจะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ” เธอยักไหล่อย่างมิได้รู้สึกยินดียินร้ายเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจก หยิบหวีขึ้นมาสางผมต่อทั้งที่ไม่จำเป็นเลย

“คุณนึกไม่ถึงว่าผมจะกลับมาใช่ไหม” เจคเหวี่ยงขาลงจากเตียง พร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่ง เงาสะท้อนปรากฏขึ้นในกระจกเคียงข้างธันยา

“ไม่คิดหรอก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็นประสานสายตากับเขาอย่างไม่พรั่น

“เอ... ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมคุณถึงไม่คิดเพราะตอนที่ผมได้รับจดหมายของคุณนั่นน่ะ ผมว่ามันเป็นบรรยากาศแห่งการต้อนรับด้วยความยินดีผสมอยู่ไม่น้อยเลยนี่” น้ำเสียงของเขาเย้ยเยาะอย่างไม่คิดปิดบัง

“คุณทำสุ้มเสียงอย่างกับว่าไม่เคยได้รับจดหมายของฉันมาก่อนอย่างนั้นละ” ธันยาประชดให้

“ฉันก็เขียนจดหมายถึงคุณทุกอาทิตย์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คุณจะมาพูดอย่างนี้เห็นจะไม่ถูกหรอก”

“จดหมายงั้นเรอะ คุณเรียกไอ้เศษกระดาษที่ผมได้รับอยู่ตลอดเวลาว่าจดหมายด้วย” เจคเปล่งเสียงหัวเราะกร้าว ๆ อยู่ในลำคอ สายตาที่บอกถึงความเมินหมางจับจ้องอยู่แต่กับใบหน้าของเธอ “แล้วเรื่องที่คุณเขียนในเศษกระดาษนั่นก็ไม่เห็นจะมีอะไร นอกจากวันนี้ฉันพาจอห์นไปทำฟัน จอห์นสนุกมากเมื่อไปโรงเรียนวันแรก จอห์นกำลังเรียนว่ายน้ำ แล้วก็อะไรต่อมิอะไรตั้งเยอะแยะ แต่คุณไม่เคยถามเลยสักคำว่า ‘คุณเป็นยังไงบ้าง’ หรือ ‘ คุณกำลังทำอะไรอยู่’ ไอ้เศษกระดาษนั่นไม่สมควรเรียกว่าจดหมายหรอก มันก็แค่การที่คุณทำหน้าที่ให้หมดไปวัน ๆ เท่านั้น แล้วจะมีอะไรให้ผมเขียนตอบมาได้บ้าง จะให้ผมเล่าว่าวันนี้ รถบดถนนมันเสียงดังงั้นเรอะ หรือจะให้ผมบอกว่าวันนี้ผมไปกินเบียร์กับพวกคนงาน”

“บางที ถ้าคุณคิดจะทำอย่างนั้นเสียบ้าง จอห์นก็คงไม่ต้องมีความคิดว่าแกเป็นลูกไม่มีพ่อหรอก” อารมณ์ของเธอพลุ่งขึ้นทั้งที่ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะควบคุมไว้อย่างสุดความสามารถ

“ที่จริงคุณก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ยิ่งผมไม่กลับมานานเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการดีสำหรับคุณเท่านั้น” เจคเยาะให้ “รู้สึกว่าคุณต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหลือเกินนี่ที่จะเขียนจดหมายฉบับล่าสุดไปถึงผมเพื่อเตือนให้ผมนึกถึงหน้าที่ในฐานะที่เป็นพ่อนั่นน่ะ”

ธันยารู้สึกไม่เชื่อใจตนเองที่จะพูดอะไรออกมา เพราะรู้ดีว่าคำพูดที่ขึ้นมาติดอยู่ตรงริมฝีปากยามนี้ ถ้ากล่าวออกมาแล้วรังแต่จะทำให้สถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่เลวลง มีแต่แววในดวงตาที่สาดประกายแค้นเคืองอย่างเหลือระงับ เมื่อเจคลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้ามายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า

“ถ้าผมต้องการจะปัดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพ่อละก้อ ผมไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับคุณเสียด้วยซ้ำ” น้ำเสียงกระชาก ๆ นั้นทำให้ใบหน้าของเธอเผือดซีดลง “หรือคุณลืมไปแล้วว่าคุณได้พยายามจะเอาสีดำมาสาดใส่ผม อย่างที่ใจของคุณมันคิดไปเอง”

แววในดวงตาของทั้งเขาและเธอที่ประสานกันอยู่ เป็นประหนึ่งกระจกเงาที่สะท้อนภาพของกันและกันอยู่

“ฉันไม่เคยแนะนำให้คุณไปทำงานแอฟริกาและฉันก็ไม่เคยบอกว่าให้คุณอยู่ที่นั่นด้วย” ธันยาพูดด้วยเสียงสงบ

“ถามจริงๆ เถอะธันยาว่าคุณแต่งงานกับผมเพราะอะไร” ดวงตาของเขาเครียดเขม็งราวเปลวไฟสีน้ำเงิน “ทุกครั้งที่คุณมองผมมันมีแต่แววดูหมิ่นถิ่นแคลนมาโดยตลอด คล้ายกับคุณอยากจะให้ผมตาย ๆ ไปเสียยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี คุณไม่เคยเปิดโอกาสให้กับชีวิตการแต่งงานของเราเลย แล้วผมจะอยู่ไปทำไมเล่า จอห์นก็ยังเล็กอยู่ แกต้องการแม่มากกว่าผม และคุณก็ทำให้ผมรู้อย่างชัดเจนเลยในทุกครั้งที่คุณมองผม ว่าคุณดูถูกผมเพียงไร”

“ฉันไม่เคยขอร้องให้คุณแต่งงานกับฉันนะ” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ขอแต่เพียงให้คุณยอมรับว่าจอห์นเป็นลูกเท่านั้นก็พอแล้ว”

“ซึ่งก็หมายความว่าทันทีที่คุณได้เงิน คุณจะพาลูกหนีผมไปอยู่ในที่ซึ่งผมจะตามหาคุณไม่พบ แล้วผมกับลูกก็จะได้ไม่ต้องพบกันอีกอย่างนั้นสินะ” ความเข้าใจผิด ๆ ของเขาเรียกเลือดร้อนๆ ให้พล่านขึ้นสู่นวลแก้ม“เพราะฉะนั้น เหตุผลที่ผมแต่งงานกับคุณก็คือเหตุผลเดียวกับที่ผมไม่ยอมหย่าคุณนั่นแหละคือ ผมต้องการลูกของผม แม้ว่ามันจะหมายถึงเราจะต้องทนทรมานกันตลอดไปก็ตาม”

คราวนี้ ธันยาเป็นฝ่ายเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

“เวลานี้ลูกชายของคุณน่ะอายุเจ็ดขวบแล้วนะ แล้วแกก็ไม่เคยรู้เลยด้วยว่า พ่อน่ะหน้าตายังไง แทบจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าตัวเองมีพ่อกับเขา แล้วคุณยังจะมาเรียกร้องสิทธิในความเป็นพ่อของคุณอีกงั้นหรือ”

กรามที่ขบกันนูนจนเป็นสันบอกให้เธอรู้ว่า คำพูดประโยคนั้นเหมือนลูกธนูที่พุ่งเข้าถูกเป้า แต่แล้วมุมปากของเขาก็หยักขึ้นเป็นรอยหยันเยาะ

“เราแต่งงานกันมาถึงเจ็ดปีแล้วสินะ” เจคเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “ถ้าจะพูดเปรียบเทียบอย่างคำพังเพยเก่า ๆ ก็คงต้องพูดว่าเหมือนเพิ่งแต่งกันเมื่อวานนี้เอง และคุณก็รู้ดีว่าชีวิตเราเมื่อวานนี้น่ะมันทุเรศขนาดไหน จริงอยู่เวลามันก็มีหนทางผ่านเลยไปของมันเรื่อย ๆ ผมยอมรับอยู่ประการหนึ่งว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งบ้านไปนานถึงขนาดนั้นหรอก แต่เวลานี้จอห์นก็เพิ่งจะถึงวัยที่แกต้องการทั้งพ่อทั้งแม่แล้ว ก็อย่างที่คุณได้พูดไปในจดหมายนั่นแหละธันยา ว่าคุณเองก็แก่ตัวลงแล้วเหมือนกัน” เขาเอื้อมมาโอบแขนลงรอบเอว สัมผัสนั้นทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา

“และเวลานี้เนื้อตัวของคุณที่ผมสัมผัสอยู่มันก็เต็มไม้เต็มมือขึ้นแล้วด้วย”

เธอก้มลงมองอ้อมแขนของเขา สีหน้าบอกความเมินหมางและไม่พอใจที่เขาถือสิทธิเอากับเธอเช่นนั้น แต่ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นรัวแรงราวบ้าคลั่ง

“ไม่มีประโยชน์อีกแล้วที่เราจะพูดกันถึงเรื่องนี้” น้ำเสียงของธันยาเยือกเย็นยิ่งนัก “ฉันจะกลับออกไปร่วมงานกับเขาข้างนอก”

แต่อ้อมแขนของเขากลับกระชับมั่นเข้า เมื่อเธอทำท่าจะผลุดออก

“ทำไม เวลานี้แพทริค เรนเนส เป็นคู่รักของคุณอย่างนั้นเรอะ” แววในดวงตาของเจคกร้าวขึ้น

“ไม่ใช่” ธันยาปฏิเสธเสียงเฉียบขาดในทันทีนวลแก้มร้อนผ่าวขึ้นด้วยความรู้สึกอดสูใจ “คืนนี้เป็นครั้งแรกที่…” เธอกัดริมฝีปากไว้ กล้ำกลืนสิ่งที่ตั้งใจจะพูดลง รู้สึกขุ่นเคืองใจที่เจคทำให้เธอไม่สามารถหาคำอธิบายได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel