บทที่ 7
เสียงเพลงจบลง โน้ตตัวสุดท้ายของเปียโนยังกังวานแว่วอยู่ในหูของธันยา ขณะที่เธอเบี่ยงร่างออกจากวงแขนของเขาเธอรู้ว่าควรจะออกไปรับรองแขกอื่นบ้าง แต่มันอาจจะเป็นความเขลากระมังที่ทำให้เธอไม่อยากให้การสนทนาระหว่างเธอกับเขาต้องยุติลงเลย
“มีผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะคะที่จะไม่หลงเสน่ห์คุณ?” เธอถามเสียงพร่า “คุณเป็นคนที่เข้มแข็งสง่าผ่าเผย แล้วก็ยังเป็นโสดเต็มตัวออกอย่างนี้ ฉันว่ามันเป็นศักยภาพที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะต้านทานไว้ได้หรอกค่ะ คุณเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์คนหนึ่งสำหรับฉันค่ะแพทริค” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ซึ่งก็เพราะเหตุนี้ไงล่ะคะ ที่ทำให้ฉันไม่กล้าพอที่จะพบคุณนอกกำแพงบ้านหลังนี้”
“ถามจริงๆ เถอะ พวกแลสสิเตอร์เขาเอาอะไรมาล่ามคุณไว้” เขาถามเสียงกระด้าง “ทำไมคุณถึงต้องไปหวั่นเกรงผู้ชายที่คุณเห็นหน้าเขาเพียงแค่เจ็ดวัน ในช่วงระยะเวลาถึงเจ็ดปี ด้วยล่ะ”
ขณะนั้น ทั้งเขาและเธอกำลังยืนอยู่ตรงมุมมืดแคบ ๆ บนเฉลียง แม้จะอยู่ในท่ามกลางแขกเหรื่อคนอื่น ๆ แต่ก็ยังแยกตัวออกมาต่างหากอยู่ดี
“เจคเขาไม่ได้มาล่ามหรือผูกมัดอะไรฉันหรอกค่ะ” ใบหน้าของเธอยามนี้เหมือนมีหน้ากากแห่งความเย็นชาเข้ามาสวมทับไว้ แม้แต่กับแพททริค บุรุษที่เธอหลงรักเขาเข้าไปแล้วครึ่งหัวใจ เธอก็ยังไม่อาจจะหาเหตุผลอันแท้จริงมาประกอบ คำอธิบายถึงการสมรสที่ไร้ความรักของเธอได้ “ชีวิตมันเป็นของฉันนะคะ”
“แล้วก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมด้วย” เขาเสริม กดไลท์เตอร์ทองคำแตะลงตรงปลายบุหรี่ “มันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่การที่ผมอยากจะให้มันเป็นเรื่องของผมด้วยอย่างนั้นใช่ไหม”
เป็นเวลาอันยาวนานอย่างแท้จริง ที่ธันยาต้องยืนอยู่บนขาของตนเอง อย่างปราศจากผู้ที่จะพึ่งพักได้และแพทริคก็ช่างเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง เธอจำต้องเม้มเรียวปากไว้แน่น เพื่อที่ตนเองจะไม่ต้องกล่าววาจาอันแสดงออก ถึงการยอมศิโรราบแก่เขาออกมา
และแล้ว เธอได้ยินเสียงของเขา เสียงที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนดังมาจากทางเบื้องหลังร่างของเธอและเขามิได้อยู่ห่างจากเธออีกต่อไป
“จอห์นต้องเห็นพ่อนะธันยา” คำพูดประโยคนั้นคืออาวุธที่เขานำมาใช้กับเธอ “และจะต้องมิใช่เป็นเพียงใครคนหนึ่งที่ปรากฏอยู่เพียงแค่ชื่ออย่างที่เจคทำกับลูกของเขาอยู่ในทุกวันนี้…”
“ที่คุณพูดน่ะมันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ” น้ำเสียงของเธอกึ่งตัดพ้อขึ้นมาทันที แต่กระนั้น มันก็ยังแฝงความสงสัยในตนเองไว้... ”
“ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ เป็นเรื่องยุติธรรมทั้งนั้นล่ะธันยา”
“ขอโทษนะคะ ฉันเห็นจะต้องขอตัวไปดูจอห์นหน่อยก่อน” เธอรีบผละออกห่างเสียจากเขาบังเกิดความกังวลขึ้นมาว่าเธออาจจะต้องยินยอมพร้อมใจ ต่อการยั่วยุที่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้า
ขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้ประตูบานเลื่อนนั้นเอง จูเลียแลสสิเตอร์ ก็เดินเข้ามาขวางหน้าไว้
“อยากได้น้ำแข็งเพิ่มเติมที่บาร์สักหน่อย ช่วยเข้าไปเอามาให้หน่อยได้ไหมธันยา”
“ผมไปเอาให้เองครับ” แพทริคเอ่ยขึ้น ธันยาเหลือบตามองหน้าเขาทันที ออกจะแปลกใจที่เห็นเขาตามเธอมา และอยู่ในระยะกระชั้นชิดขนาดนั้น “ธันยาเขาจะเข้าไปดูจอห์นน่ะครับ”
“ขอบใจมากจ้ะ แพทริค” สตรีสูงอายุยิ้มให้ “อ้อ... แล้วก็ช่วยจูบจอห์นนี่แทนด้วยนะธันยา”
“ค่ะ จูเลีย” เธอได้แต่หวังว่าความกระวนกระวายที่กำลังเกิดอยู่ในใจยามนี้จะไม่ปรากฏออกมาให้จูเลียสังเกตเห็นได้
เมื่อแพทริคปิดประตูบานเลื่อนอันเป็นประตูที่เข้าสู่ตัวบ้านด้านในลงแล้ว ธันยาจึงได้หันไปเผชิญหน้าเขาพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า
“ถุงน้ำแข็งอยู่ในตู้แช่นั่นแน่ะค่ะ” เธอรีบบอกเขาทันที
แต่พอเธอจะหันกลับ เขาก็เอื้อมมายุดข้อมือรั้งร่างเธอเข้าสู่อ้อมแขน ธันยากำลังจะต้านทานไว้แต่แพทริคสงบระงับคำพูดของเธอไว้ ด้วยจุมพิตที่เรียกลมหายใจไปจากเธอทั้งหมดจนธันยาไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้อีก จุมพิตนั้นได้สร้างความหฤหรรษ์อันเปี่ยมล้นให้บังเกิดขึ้นและเมื่อถอนริมฝีปากออกเขาก็ประคองใบหน้าของเธอไว้ จ้องลึกลงไปในดวงตาที่ฉายแววงุนงงอยู่
“ผมว่า เจคน่าจะเสียสติไปแล้ว ที่ทอดทิ้งคุณไว้อย่างนี้” เขาพูดเสียงเบา
“นั่นสิ ผมก็ว่าตัวเองคงต้องเป็นอย่างนั้นแน่”
ธันยาสะบัดร่างออกจากอ้อมแขนแพทริค หันไปมองตามทิศทางที่มาของเสียงนั้น แม้จะมองเห็นร่างของผู้ชายคนที่กำลังยืนพิงกรอบประตูอยู่ แต่สายตาของเธอก็ยังเปล่งแววไม่อยากจะเชื่อในภาพที่กำลังได้เห็นอยู่ดีบรรยากาศในยามนี้ตึงเครียดจนเธอแทบไม่กล้าจะหายใจ
“คุณน่ะทิ้งเธอไปนานมากนะ แลสสิเตอร์ เพราะฉะนั้นเวลานี้ เธอก็เท่ากับไม่ได้เป็นของคุณอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีคำตอบสำหรับคำพูดประโยคนี้ ธันยาได้แต่ยืนนิ่งซึ่งเหมือนร่างกายได้เป็นอัมพาตไปแล้ว ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนเคลื่อนกายได้ และราวกับมีมืออันเย็นเยือกเอื้อมมาบีบคอไว้จนไม่อาจจะเปล่งคำพูดใด ๆ ออกมาได้เช่นกัน ขณะที่เจคยืดร่างขึ้นช้าๆ เธอจึงได้สังเกตเห็นว่าเขามีบุหรี่ถืออยู่ในมือ เขาเคลื่อนร่างออกมาจากเงามืดกดบุหรี่มวนนั้นลงในที่เขี่ย เรือนร่างของเขาดูสูงใหญ่กว่าผู้ชายคนที่เคยอยู่ในความทรงจำของเธอมาก่อน
เขาก้าวออกมาหยุดอยู่ตรงที่มีแสงจากดวงไฟส่องสว่างอย่างเต็มที่ ผิวกายซึ่งดำคล้ำลงด้วยแสงแดดแผดเผาทำให้ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นคมปลาบราวแสงเหล็กกล้า
“มานี่...ธันยา” เขาออกคำสั่ง
ดวงตาที่เปล่งแววบังคับคู่นั้น เหมือนจะส่งกระแสดึงดูดที่ทำให้เธอต้องเคลื่อนร่างเข้าไปหาตามบัญชาธันยายังตกอยู่ในความงุนงงอย่างเหลือจะกล่าว กับการปรากฏตัวของบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามี เกินกว่าที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ขณะนี้เขาและเธอยืนอยู่ห่างจากกันไม่ถึงสองฟุต เธอได้แต่จ้องมองหน้าเขาอย่างพินิจพิเคราะห์สังเกตเห็นความแปลงเปลี่ยนทั้งหลายที่ช่วงเวลาสี่ปีได้นำมาให้สี่ปี...ช่างเป็นระยะที่เนิ่นนานเสียเหลือเกิน นับแต่เธอได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ใบหน้าเขาตอบลง แต่มีความกระด้างเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อครั้งกาลก่อน ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตลบร่องรอยแห่งความอ่อนเยาว์ให้เลือนหายไปจนหมดสิ้น ทุกรอยเส้นบนใบหน้าคือรอยแห่งความกร้าวแกร่ง เต็มไปด้วยพลังของบุรุษผู้ต่อสู้ชีวิตโชกโชนมาอย่างพอตัว ถึงอย่างไร เจคก็ยังมีหน้าตาที่คมสันอยู่มาก ดูเหมือนความกร้าวกระด้างนั่นเองที่ทำให้เขาสมลักษณะของชายชาตรียิ่งขึ้น
แววในดวงตาของเขาที่กวาดไปทั่วเรือนร่างของเธอในยามนี้ เหมือนจะอ่านเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“คุณไปได้แล้ว เรนเนส” เจคออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแกมหยันเยาะ สายตามิได้ละจากใบหน้าของธันยาเลย
เสียงประตูเลื่อนที่กระแทกปิด เหมือนจะปลุกธันยาให้ตื่นขึ้นจากความตระหนกตกใจที่เกาะกุมเธอไว้จากการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของเขา แววหยามเหยียดฉายประกายอยู่ในดวงตา
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น ยิ้มหยันปรากฏอยู่บนเรียวปาก
“คุณน่ะมันนังแม่มด” เขาคำรามออกมาอย่างดุร้ายเอื้อมไปกระชากไหล่เธอให้เข้ามาหานิ้วแข็ง ๆ จิกลงไปในเนื้อผ้าอันอ่อนนุ่ม “ผมหวังที่จะได้รับการต้อนรับจากเมียมากกว่านี้รู้ไว้เสียด้วย”
ร่างของเธอถูกรั้งเข้าไปแนบอยู่กับร่างของเขาทุกสัดส่วนบนเรือนร่างถูกทาบทับไว้อย่างหักหาญ ตวัดแขนของธันยาไปไพล่ไว้ทางเบื้องหลัง และแล้ว ก็กระแทกริมฝีปากลงไปอย่างดุร้าย ซึ่งแตกต่างกับความหวานชื่นที่เธอเพิ่งได้รับมาจากแพทริคอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ ไรฟันของเขาขบเนื้ออ่อนบนเรียวปากจนได้คาวเลือด อ้อมแขนที่เปรียบประดุจปลอกเหล็กรวบรัดร่างเธอไว้จนกระดิกตัวไม่ได้ ธันยาหมดแรงที่จะดิ้นรนเพราะถึงจะดิ้นรนไปเจคก็คงไม่ยอมปล่อยอย่างแน่นอน