บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

บ้านไร่หลังงามนี้ตั้งอยู่ตอนปลายสุดของแหลมที่ยื่นลงไปในทะเลสาบมีชื่อว่า เทเบิ้ล ร็อค เลค เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นเวิ้งอ่าว จึงทำให้มีชายหาดและท่าเทียบเรือเล็กส่วนตัว ทั้งยังมีบ้านพักริมทะเลอีกหลังหนึ่งถูกปลูกขึ้นในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน และห่างจากถิ่นที่อยู่ของผู้คนหรือเพื่อนบ้าน เพราะว่า เจ.ดี. ได้ซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงไว้ด้วย เพื่อให้แน่ใจในความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบ แขกที่จะได้รับเชิญมาที่บ้านหลังนี้จะต้องเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมเท่านั้น และในค่ำวันนี้ บ้านหลังดังกล่าวก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริง

เสียงกริ่งตรงหน้าประตูดังขึ้น ธันยาหันไปบอกกับมารดาของสามีว่า

“ดิฉันไปเปิดเองค่ะ จูเลีย” ก่อนที่จะเดินตรงไปยังประตูบานไม้ที่มีลวดลายสลักเสลาอย่างงดงามซึ่งเมื่อเปิดออกก็พบว่าแพททริค เรนเนส กับสตรีสาวสวยคนหนึ่งร่างสูงระหงเรือนผมดำสนิทยืนอยู่ตรงหน้า

“เชียล่า ดีใจจริงค่ะที่คุณมา” ธันยาเอื้อมไปเกาะกุมมือน้องสาวของแพทริคไว้ “แต่งตัวสวยจังเลยวันนี้” เธอเสริม เมื่อกวาดสายตาไปทั่วร่างของเพื่อนสาวในชุดผ้าลูกไม้สีขาวสะอาดตา

“เทียบกับเธอแล้วจืดสนิทเลย” เชียล่าตอบ มีแววริษยาฉายประกายอยู่ในดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้ม ที่มองปราดไปทั่วร่างของธันยา

เธอกับเชียล่ามีอายุต่างกันแค่สี่ปีเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ตาม ธันยามีความรู้สึกว่า เธอไม่ใคร่จะได้รับการยอมรับจากน้องสาวของแพทริคเท่าไรนัก และยิ่งกับคืนนี้ด้วยแล้ว ธันยาออกจะอดแปลกใจไม่ได้ ที่เชียล่ารับการทักทายของเธออย่างเฉยชาเมินหมางอย่างไรชอบกล

“เราคงจะไม่ได้มาช้าจนเกินไปใช่ไหมครับ” แพทริคเอ่ยถามขึ้น ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยแววแห่งความพึงใจกวาดไปทั่วเรือนร่างในชุดค่ำสีส้มสดที่ธันยาสวมใส่อยู่

“ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้แขกเพิ่งจะเริ่มมากัน แล้วก็อยู่กันตรงลานเฉลียงโน่นแน่ะ”

ลานเฉลียง อันเป็นส่วนที่เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงมีความภาคภูมิใจอย่างที่สุดด้วยถูกตกแต่งอย่างสวยสดงดงามสำหรับราตรีนี้ เป็นลานเฉลียงที่ทอดยาวไปตามตัวบ้าน มีประตูกระจกบานเลื่อนที่เปิดติดต่อกับห้องรับแขกด้านในและสวนไม้ดอกที่จัดประดับไว้ในสวนหินได้ และทะเลสาบเบื้องหน้าก็อยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งร้อยหลาในบริเวณนี้ไม่มีสระว่ายน้ำ ทั้งนี้เพราะจูเลียมีความรู้สึกว่า มันจะทำลายบรรยากาศของสวนไม้ดอกงามสะพรั่งที่เธอจัดตกแต่งไว้

เมื่อบุคคลทั้งสามปรากฏตัวขึ้นตรงลานเฉลียงนั้น เจ.ดี. ก็ขอตัวจากแขกที่กำลังรับรองอยู่เดินตรงเข้ามาต้อนรับ จูเลียตามมาติดๆ พร้อมกับถาดใส่ออเดิฟ

ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งที่ผ่านไป ธันยาต้องวิ่งอยู่ระหว่างลานเฉลียงกับประตูตลอดเวลา เพื่อที่จะต้อนรับแขกที่ทยอยกันเข้ามา ในขณะที่มารดาของสามีวุ่นวายอยู่กับการจัดอาหารบนโต๊ะดินเนอร์ในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์และสนทนาปราศรัยกับสามีภรรยาอีกยี่สิบกว่าคู่ที่เชิญมาร่วมงาน เธอออกจะโล่งใจขึ้น เมื่อแพทริคเดินถือแก้วเครื่องดื่มเข้ามาหา และสั่งให้เธอนั่งพักลงเสียบ้าง

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไม เจ.ดี. ไม่สั่งอาหารมาเลี้ยงในวันนี้” แพทริคเอ่ยขึ้น เอนหลังพิงพนักโซฟาพาดแขนไปตามความยาวของช่วงเก้าอี้ ไม่ห่างจากแนวไหล่ของธันยาเท่าไรนักแม้ว่าความสะท้านใจจะมิได้แสดงออกมาทางกิริยาภายนอกแต่มันก็ทำให้เธอตัวแข็งไป “อย่างน้อยการสั่งอาหารมามันก็จะช่วยให้คุณกับจูเลียไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไปนัก”

“อ้าวขืนทำอย่างนั้น จูเลียก็ไม่ได้เครดิตสิคะ” ธันยาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่จริงมันก็เป็นความจริงอย่างที่คุณพูดนั่นแหละค่ะ แต่ถึงจะสั่งอาหารมาจากร้าน จูเลียก็ต้องจัดการวุ่นวายอีกเช่นกัน เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว”

“แล้วคุณล่ะ ธรรมชาติของคุณเป็นยังไง” เขาถามเสียงเบา ๆ จ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอ โดยไม่สนใจกับคนอื่น ๆ ที่กำลังคุยกันอยู่รอบข้าง

“ธรรมชาติของฉันน่ะหรือคะ” เธออึ้งไปทอดสายตาออกไปยังพื้นน้ำในทะเลสาบที่เลื่อมลายด้วยประกายสีเงิน “ถ้าเป็นฉัน... ฉันก็คงจะเชิญแขกสักสี่คู่ แล้วก็ย่างเสต็คเลี้ยงกันเท่านั้นก็คงจะพอแล้วละ”

“งั้นคราวหน้าคุณเชิญผมด้วย” แพทริคพูดยิ้ม ๆ “ฟังดูแล้วน่าสนุก เป็นกันเองกว่าวิธีนี้ด้วย”

“ได้สิคะ” ธันยาเบือนสายตาไปเสียทางหนึ่งไม่อยากมองริมฝีปากที่แฝงเสน่ห์คู่นั้นเพราะมันมักจะสร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในจิตใจเสมอ และคล้ายจะมีความชิดใกล้อย่างประหลาดเกิดขึ้นอยู่ “คืนนี้อากาศดีจังเลยนะคะ”

“ดีมากทีเดียว” เขามิได้ละสายตาจากใบหน้าของเธอเลย “เพลงก็เพราะด้วย”

ธันยาหยุดฟัง เพลงที่กำลังบรรเลงอยู่นั้นคือ “อันเซนต์เมโลดี้” ลอยล่องอยู่ในท่ามกลางสรรพสำเนียงสรวลสันต์ของบรรดาที่ได้รับเชิญมา ความปรารถนาอันร้าวรวดบังเกิดขึ้นในจิตใจ ใคร่ที่จะได้ซุกอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของใครก็ได้สักคนหนึ่ง แล้วจะเป็นเพียงชั่วครู่ก็พอ

“นี่...สมมุติว่าเราออกไปเต้นรำกันตอนนี้นะคุณคิดว่าจะมีคนเลิกคิ้วมองกันสักกี่คน” เสียงแพทริคเอ่ยถามอยู่ใกล้ดวงตาคมปลาบคู่นั้นกวาดไปทั่วใบหน้า

“ก็คงจะทุกคนละมังคะ” เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ไม่แน่ใจว่า เธอได้ทรยศต่อคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับตัวเองด้วยวาจาหรือสายตาออกไปบ้างหรือเปล่า

“งั้นเราลองดูกันหน่อยไหมล่ะ” เขาเสนอแนะขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนที่จะเอื้อมมือมารั้งร่างเธอให้ยืนขึ้น

มนต์แห่งเสียงเพลงราวจะร้อยรัดเธอกับเขาเข้าไว้ด้วยกันมีเพียงเชียล่าเท่านั้นที่มองมาทางคนทั้งสองแววแห่งความรู้ทันฉายประกายอยู่ในดวงตาคู่สีน้ำตาลคู่นั้น

ดูเหมือนธันยาจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่า ครั้งหลังสุดนั้นเธอเคยได้อยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนไหนสักคนหนึ่ง และไม่แน่ใจว่าที่เธอกระทำอยู่ในขณะนี้ เป็นเพราะมรรยาทของสังคมหรือว่าจิตใจของเธอปรารถนาที่จะยอมศิโรราบให้กับแพทริคเขาก้าวเท้าไปตามจังหวะอย่างง่ายๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สมาธิเท่าไรนัก ธันยารู้สึกถึงความกระชับแน่นของฝ่ามือที่ทาบอยู่ตรงช่วงสะเอวรั้งร่างเธอเข้าไปแนบชิดอยู่กับร่างของเขา เท่าที่เธอจะยอมอนุญาตให้เป็นได้

ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาระรวยอยู่กับเรือนผมสร้างความเร้ารึงใจให้เกิดขึ้นอย่างเหลือประมาณ เธอใคร่ที่จะซบศีรษะลงแนบอยู่กับช่วงไหล่นั้นนัก แต่เธอก็พยายามต่อสู้กับความปรารถนาของตัวเองไว้

“ธันยา” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นข้างหู ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่คมปลาบ มันช่างเป็นความรู้สึกที่สะท้านใจอย่างเหลือประมาณ ยามที่เธอได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา นวลแก้มของเธอแดงเปล่งขึ้นเมื่ออ่านความหมายในดวงตาคู่นั้นออก

“คุณเป็นผู้หญิงที่สวยอย่างน่ามหัศจรรย์ใจทีเดียว” แววในดวงตาของเขาทำให้หัวใจของเธอพองโตขึ้น และเต้นระรัวขึ้นกว่าเดิม ในช่วงเวลานั้นที่เธออยากจะกลั้นใจลงและลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบกายให้หมดสิ้น แต่มันเป็นเพียงความวูบวาบของอารมณ์เพียงชั่วครู่เท่านั้น

ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนริมฝีปากของเขาเป็นเชิงห้าม

“แพทริคคะ อย่าพูดอะไรมากกว่านี้เลย”

เขาจับนิ้วนั้นไว้ แตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สีน้ำตาลแกมทอง

“ผมน่ะไม่กล้าพูดอะไรมาเป็นปีแล้ว” แม้มันจะเป็นประโยคคำพูดที่ธรรมดาที่สุด แต่กระนั้น ก็ถูกเน้นด้วยน้ำเสียงเครียด ๆ “แต่อันที่จริงผมก็ไม่ควรจะต้องพูดอะไรเลยใช่ไหม เราต่างก็โตกันแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่จำเป็นจะต้องมา หลอกเล่นกันอีกใช่ไหม”

“คุณไม่สมควรจะพูดอะไรทั้งนั้นละค่ะ” ธันยาตอบพร้อมกับเบี่ยงตัวออกห่างเสียจากเขา ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าแพทริคจะต้องโต้แย้งกลับมาด้วยการชี้ให้เธอเห็นว่าการสมรสของเธอนั้นมีค่าเพียงแค่คำพูดสักประโยคหนึ่งหรือเศษกระดาษชิ้นหนึ่งเท่านั้น

“ได้โปรดเถอะค่ะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว”

“อาทิตย์หน้า ไปดินเนอร์กับผมนะ” ดวงดวงตาที่กวาดไปทั่วนวลหน้า เปล่งแววขอร้อง “คุณนัดมาได้เลยว่าจะให้ผมไปพบได้ที่ไหน”

“มัน ... เอ้อ.. มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโรย ส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกสับสนที่บังเกิดขึ้นขณะเดียวกัน เธอก็อยากจะให้เขาช่วยไถ่ถอนคำปฏิเสธที่ตนเองได้กล่าวออกไปแทน

ทั้งเขาและเธอตกอยู่ในความเงียบงันเป็นครู่

“ทำไม ผมพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นรึ” แพทริคถามขรึม ๆ “คุณไม่เชื่อหรอกหรือว่าคุณน่ะเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่ารักที่สุดในสายตาของผมจริงๆ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel