บทที่ 3
“เอ๊ะ...นั่นรถลุงแพทริคนี่ฮะแม่ จอดอยู่ตรงทางเข้าบ้านนั่นไง” จอห์นร้องเอะอะขึ้นด้วยความดีใจเมื่อมองเห็น เอลโดราโด้สีเงินจอดอยู่เบื้องหน้าบ้านไร่ทันสมัย “โอโฮ...ลุงแพทริคไม่ได้มาเยี่ยมเราตั้งนานแล้วนะฮะแม่”
“ไม่ได้นานอย่างที่ลูกทำเสียงหรอกน่ะ” ธันยาขัดคอลูกชายเป็นครั้งแรก “เพิ่งจะอาทิตย์กว่าๆ เท่านั้น” แต่ขณะเดียวกัน แววในดวงตาของเธอก็เป็นประกายสุกใสขึ้น เมื่อเห็นรถคันที่คุ้นตา
แพทริค เรนเนส ไม่เชิงเป็นลุงแท้ๆ ของจอห์นแม้ว่าจอห์นจะเรียกเขาเช่นนั้นมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็ตาม ในปัจจุบันนี้ เจ.ดี.แลสสิเตอร์ บิดาของสามีเธอเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว ดังนั้น เขาจะไปที่ทำการสำนักงานของบริษัทในสปริงฟิลด์เพียงสัปดาห์ละสามครั้ง แพทริคเป็นหัวหน้าวิศวกร ซึ่งดูแลกิจการของบริษัททั้งหมด เพียงแต่ไม่มีชื่อปรากฏอยู่ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ทำให้ธันยามีความรู้สึกว่า เจ.ดี. ยังควบคุมงานทั้นหมดไว้ด้วยตนเอง รอเวลาที่ลูกชายคนเดียวจะกลับมารับหน้าที่บริหารงานแทน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะต้องยกกิจการทั้งหมดให้กับสามีของเธอ และก็เพราะการชักชวนของ เจ.ดี. นั่นเองที่ทำให้เจคยอมสละเวลา กลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อสี่ปีก่อน ซึ่งก็อยู่ได้เพียงอาทิตย์เดียวก็ต้องกลับไป เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบรรยากาศระหว่างเขากับเธอนั้นช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน และธันยาก็ไม่อาจจะพูดจากับเขาให้เป็นที่เข้าใจกันได้ โดยไม่ต้องพูดถึงการที่จะต้องอยู่ร่วมห้องกัน
ขณะที่เธอกับจอห์นเดินขึ้นไปยังระเบียงด้านหน้าของตัวเรือนที่ได้รับการขัดถูไว้สะอาดสะอ้านจนเป็นเงาวับนั้น ธันยามีความรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างผิดปกติ เพียงแต่ได้ยินน้ำเสียงรื่นเริงของแพทริคดังอยู่ข้างใน จอห์นโลดถลาออกไปก่อน ร้องทักทายคุณปู่คุณย่า และบุรุษร่างสง่าผิวคล้ำที่ยืนกลางห้องนั่งเล่น เธอส่งยิ้มให้เขาทันทีด้วยความยินดียิ่งนัก
“ดีใจจริงค่ะ แพทริค ที่ได้พบคุณอีก เธอยื่นมือไปให้เขาสัมผัสตามมารยาท รู้สึกอบอุ่นยิ่งนักยามที่เขาเกาะกุมมือเธอไว้และกับแววในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนคู่นั้น “จอห์นแกบอกตอนที่เห็นรถคุณจอดอยู่ว่า คุณไม่ได้มาหาแกเป็นปีแล้วแน่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า คุณเองก็คิดถึงผมอยู่เหมือนกันตอนที่ผมออกไปทำงานนอกเมืองนี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความพึงใจ
ขณะที่ธันยากำลังชั่งน้ำหนักในความหมายแห่งคำพูดของเขาอยู่นั้น เสียงมารดาของสามีก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อนว่า
“เรากำลังคิดว่า เธอสองคนแม่ลูกหลงทางเสียแล้วสิ เธอกับจอห์นนี่หายไปไหนกันมา กลับเสียจนมืดค่ำ” ในบ้านหลังนี้จะมีก็แต่จูเลีย แลสสิเตอร์ เท่านั้นที่เรียกจอห์นว่า จอห์นนี่ และธันยาก็รู้ว่า การที่จูเลียจงใจจะเรียกลูกชายของเธอเช่นนั้น ก็เพราะรู้ว่าเธอไม่ชอบ
“เรากลับกันมาทางอ้อมน่ะค่ะ มันก็เลยใช้เวลามากไปหน่อย” เธอตอบอย่างใจเย็นหันไปทางสตรีสูงอายุที่จับแขนจอห์นไว้แน่น ดวงตาคู่สีน้ำตาลแกมทองเหลือบแลไปทั่วเรือนผมสีเทาเงิน ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ด้วยรู้ดีว่า จูเลียต้องการคำอธิบายที่มากกว่านั้น “นี่ทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้วหรือคะ”
“ก็เพิ่งจะหาอะไรดื่มกันเสร็จ กำลังจะเข้านั่งโต๊ะกันอยู่พอดี” เจ.ดี.เป็นผู้ตอบพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาที่หุ้มเบาะด้วยผ้ากำมะหยี่ เรือนร่างของเขาสูงสง่าเช่นเดียวกันกับลูกชาย
“ถ้าอย่างนั้น ขอเวลาเราไปล้างหน้าล้างตากันสักครู่นะคะแล้วจะรีบกลับลงมา” ธันยาเอื้อมมือไปรับลูกชาย ส่งยิ้มให้กับบุคคลทั้งสามโดยเฉพาะกับแพทริค
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวอย่างรวดเร็วในเวลาอันจำกัด พวงผมถูกปล่อยสยายลงหวีเสยเป็นแบบเรียบง่าย ทั้งเสื้อผ้าและทรงผมที่รับกันนั้นทำให้เธองดงามสมวัย
หลังจากนั้น เธอก็ตรงเข้าไปในครัวทันที เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า จูเลียต้องการที่จะให้เธอทำเช่นนั้น อันที่จริงครอบครัวแลสสิเตอร์ มีความสามารถในการที่จะจ้างสาวใช้ คนครัว หรือคนสวน แต่สำหรับจูเลีย แลสสิเตอร์แล้วบ้านหลังนี้คือปราสาทของเธอ ดังนั้น เธอจะต้องทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวเอง หรือไม่ก็จะต้องอยู่ในสายตาที่คอยจับจ้องมองอย่างเข้มงวดกวดขัน
จูเลียเป็นแม่บ้านที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ธันยาคิดอยู่ในใจ ไม่มีอะไรที่จูเลียทำไม่ได้ และจะต้องทำได้ดีที่สุดหรือไม่ก็เหนือกว่าในระดับเฉลี่ย และยิ่งเรื่องของอาหารการรับประทานด้วยแล้ว จูเลียเป็นคนที่มีฝีมือมากและทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำ ก็หมายถึงว่าจะต้องเป็นที่พอใจของสามี บ้านจะต้องสะอาดปราศจากฝุ่นผงไม่ว่าจะในซอกเล็กหรือมุมน้อยสวนไม้ดอกก็เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งเธอทำเป็นงานและเพื่อการพักผ่อนหย่อนอารมณ์และเธอก็ใช้มือทั้งสองเนรมิตความฝันให้เป็นความจริง อย่างดีเธอก็อนุญาตให้สามีหรือธันยาช่วยในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการตัดหญ้าเท่านั้น
ในเรื่องการปรุงแต่งรูปโฉมก็เช่นกัน ทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ในเรือนกายของเธอจะต้องเต็มไปด้วยความประณีตและสง่างามเสมอ ผมทุกเส้นเป็นระเบียบอยู่ในที่ทาง ริมฝีปากจะต้องไม่มีรอยเลอะเลือนของลิปสติก เรื่องที่กระดุมเสื้อจะขาดหายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในความคิดเลย
จูเลียนั้นไม่เพียงแต่เป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ที่มีความพร้อมสำหรับปัญหาทุกประการที่ลูกชายของเธอสร้างขึ้น เธอไม่เคยเอ่ยปากถามเจคเลยสักครั้งว่า ผู้หญิงสาวไร้สังคมคนหนึ่งที่เขาพากลับมาบ้านและบอกว่าเป็นภรรยานั้นเป็นใคร ไม่เคยตั้งข้อสงสัยในตัวเด็กที่อุ้มมาและบอกว่าเป็นลูกชายของเขาด้วย เธอกระทำตามความปรารถนาของเจค ในเรื่องที่เขากับธันยาจะแยกห้องกันอยู่ โดยไม่เคยเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย ขณะเดียวกัน ก็ไม่เคยปริปากถามธันยาตรงๆ ว่าทำไมสามีของเธอจึงได้รีบร้อนไปเสียจากบ้าน หลังจากที่พาภรรยากับลูกมาฝากไว้ หรือแม้แต่เขาจะละทิ้งบ้านไปเป็นแรมปี แต่กระนั้น ธันยาก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจูเลียจับตามองเธออยู่ตลอดเวลา และการที่เธออดทนอยู่ในบ้านหลังนี้ก็เพียงเพราะจอห์นเท่านั้น จอห์นที่บัดนี้ได้กลายเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความรักทั้งหมดของจูเลีย บ่อยครั้งที่เธอจับสังเกตในน้ำเสียงที่ทิ่มแทงของแม่สามี แต่เธอก็ยอมทน
ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้ จูเลียไม่เคยแสดงความพอใจหรือไม่พอใจออกมานอกหน้า ไม่เคยแสดงความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อเธอ แต่ก็ไม่มีวี่แววของความเป็นศัตรู จะมีก็แต่สายตาคมปลาบที่คอยจับจ้องการกระทำของเธออยู่เท่านั้น
สำหรับบิดาของเจค คือ เจ.ดี. แลสสิเตอร์ นั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ครั้งหนึ่ง ธันยาเคยเย้ยหยันเจคว่าเขาสามารถจะหลอกล่อเขี้ยวพิษของงูเห่าได้ และหลังจากที่เธอได้พบกับ เจ.ดี. ก็รู้ได้ว่า เจคได้เสน่ห์มาจากบิดาของเขานั่นเอง เจ.ดี. เป็นบุคคลที่ชื่อสัตย์ และเปิดเผยความรู้สึกทั้งมวลโดยไม่คิดปิดบังอะไรไว้ เมื่อครั้งที่เธอเดินทางมาถึงบ้านหลังนี้พร้อมกับเจคนั้น เจ.ดี.ได้แสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยว่า เขาไม่เห็นด้วยเลยกับการที่เจคกับเธอแต่งงานกัน เจ.ดี. แลสสิเตอร์ เป็นบุคคลที่มีอำนาจในวงการบริหารคนหนึ่ง เป็นนักธุรกิจผู้มีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนเขาจะเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นการปรับตัว จากผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยลงความเห็นว่าไร้ค่าขึ้นมาเป็นสตรีสาวที่เพียบพร้อมด้วยคุณลักษณะทุกประการ
และแล้วเขานั่นเองที่ได้ปลดเปลื้องความไม่พึงใจทั้งมวลออก บังเกิดความนับถือ และความประทับใจในตัวเธออย่างยิ่งยวด แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะดีขึ้นอย่างมาก แต่กระนั้น เจ.ดี. ก็เช่นเดียวกับภรรยา คือไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานภาพในชีวิตสมรสระหว่างเธอกับเจค จริงอยู่ เขาอาจจะไม่ได้รับรู้ในความจริงทั้งหมดเพราะนั่นเป็นความลับที่ธันยาเก็บไว้เฉพาะตนและระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่เปิดปากเล่าให้ใครได้ฟัง แต่การแสดงออกของพ่อสามี ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งธันยาบอกกับตัวเองว่า เธอพอจะทนอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปได้
แต่ถึงอย่างไร ธันยาก็ยอมแม้จะต้องตกนรกหมกไหม้ ขอเพียงแต่ให้ลูกชายคนเดียวของเธอได้รับการยอมรับจากบุคคลในตระกูลนี้เท่านั้น ว่าเขาเป็นสายเลือดที่แท้จริง มีชื่อสกุล มีครอบครัว และมีอนาคตที่ดี