บทที่ 2
“แม่ฮะ... ”
เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่กับความทรงจำทั้งมวลเผยอเปิดขึ้นพร้อม ๆ กับที่ธันยายืดร่างขึ้นนั่งตัวตรง ขณะที่จอห์นทรุดตัวลงนั่งเคียง มือเล็ก ๆ ดึงต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบตัวเล่น
“ว่าไงล่ะ จอห์น” เธอโอบแขนไว้รอบเข่ารอฟังคำตอบจากลูกชายอยู่
“ผมมีพ่อจริงๆ หรือเปล่าฮะ”
ธันยาอึ้งไปด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าลูกจะตั้งคำถามนั้นขึ้นมา แต่แววร้อนรนที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจอห์น บอกให้รู้ว่า แกต้องการที่จะรู้ในคำตอบจากเธอจริงๆ
“อ้าว... ก็มีน่ะสิจ๊ะ” หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นกว่าเดิมเพียงแต่ธันยามิได้แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้นว่าคำถามดังกล่าวนั้นกระแทกลงตรงจุดแห่งความร้าวรานในหัวใจมากแค่ไหน
“ผมหมายถึงว่า ... พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าน่ะครับ” ครั้งนี้แววแห่งความหมองหม่น ฉายอยู่ในดวงตาคู่สีฟ้านั้น ยามที่มองมายังเธออย่างกระตือรือร้น ต้องการจะได้รับฟังคำตอบแท้จริงจากปากของเธอเอง
“ยังมีชีวิตอยู่แน่เลยลูก ก็ลูกเองยังเป็นคนเอาจดหมายของพ่อเข้าไปให้คุณปู่วันนั้นเลย ลืมแล้วหรือ ... ว่าแต่ว่า ทำไมลูกถึงคิดว่าพ่อไม่มีชีวิตอยู่แล้วล่ะ” ธันยาฝืนหัวเราะเสียงปร่า ๆ ออกมา เพียงแต่ว่ามันมิได้แฝงสำเนียงขบขัน หรือสนุกสนานไว้เลยแม้แต่น้อย
“ก็... แดนนี่ กิลเบิร์ต เขาบอกกับผมว่า บางที พ่ออาจจะตายไปแล้ว หรือไม่ก็คงจะต้องติดคุกอยู่ที่ไหนสักแห่งน่ะสิครับไม่อย่างนั้นพ่อก็จะต้องมาเยี่ยมบ้านบ้าง พ่อไม่ได้ติดคุกอยู่ไม่ใช่หรือฮะแม่”
“เปล่าเลยลูก พ่อไม่ได้ติดคุกอย่างที่ใครเขาว่าหรอกเวลานี้พ่ออยู่ในแอฟริกาต่างหาก” เธอโอบแขนลงรอบไหล่ลูกชายรั้งร่างของแกเข้ามาแนบอก ด้วยเกรงว่าจอห์นจะสังเกตเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว เธอไม่ต้องการจะเอ่ยถึงพ่อของแกเลย “หนูจำได้ไหมล่ะลูก ว่าพ่อน่ะไปทำงานให้กับคุณปู่ พ่อทำงานก่อสร้างแต่จะเป็นเขื่อนหรือสะพานอะไรสักอย่างหนึ่งที่ปู่ประมูลงานที่นั่นมาได้ แม่ก็ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าบริษัทของคุณปู่เป็นผู้เหมางานชิ้นนั้นมา แล้วก็มอบหมายให้พ่อเป็นคนไปคุมงาน เพื่อที่จะให้มันเสร็จตามกำหนดเวลาไงล่ะ”
“แต่...ทำไมพ่อถึงไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างเลยล่ะฮะแล้วทำไมเราถึงไม่มีโอกาสไปเยี่ยมพ่อบ้าง ถามจริงๆ เถอะฮะแม่ พ่อไม่เคยคิดอยากจะพบเราบ้างเลยหรือไงฮะ” เด็กชายผละออกจากอ้อมอกของมารดาสีหน้าของแกเคร่งเครียด บอกถึงความคิดที่สับสนอยู่ในจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อแนวหน้าผากของธันยาเองก็ขมวดมุ่นขึ้น
“แม่ไม่แน่ใจนะว่า สักวันหนึ่ง พ่อก็จะต้องกลับมาบ้าน ... จะต้องกลับมาอย่างแน่นอน” ธันยายืนยันกับลูกชายแต่ทว่า คำตอบอันคลุมเครือนั้น รังแต่จะสร้างความรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับตนเอง “เวลานี้พ่อกำลังยุ่งอยู่กับงานน่ะลูก”
“ผมว่า...ไม่ว่าใคร ๆ เขาจะยุ่งกันขนาดไหนเขาก็ต้องมีเวลาสำหรับการหยุดพักผ่อนด้วยกันทั้งนั้น แล้วทำไมพ่อถึงหยุดพักมาเยี่ยมเราบ้างไม่ได้ได้ล่ะฮะแม่”
“พ่อก็เคยมาครั้งหนึ่งนี่นา” เธอไม่กล้าพอที่จะเล่าให้ลูกชายฟังว่า ในความตั้งใจครั้งแรกของเจคนั้น เขาจะอยู่ถึงหนึ่งเดือน แต่แล้วก็มีเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
“ตอนนั้น ผมก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังเป็นเด็กแดงๆอยู่เลย” น้ำเสียงของจอห์นมิได้บอกความพอใจในคำตอบแม้แต่น้อย “ผมแค่สามขวบเท่านั้น คุณย่าบอกว่า...ผมเป็นทารกแล้วผมก็จำพ่อไม่ได้ด้วย”
“เอ๊ะ...นี่หนูเอาเรื่องนี้ไปคุยกับคุณย่าด้วยหรือลูก” ธันยาออกจะตกใจ เพราะถ้าจอห์นเอาเรื่องนี้ไปถามย่าของแกจริงๆ แล้วก็หมายความว่า เธอจะต้องถูกเพิ่มขีดดำอีกขีดหนึ่งขึ้นในสายตามารดาของสามี
“เปล่าหรอกครับ” หนุ่มน้อยยักไหล่เบา ๆ “ผมเพียงแต่ถามคุณย่าว่า ตอนที่ผมได้รับช้างที่แกะสลักจากงาช้างตัวเล็ก ๆ นั่นน่ะ ผมอายุเท่าไหร่เท่านั้น แม่ก็เป็นคนบอกผมเองนี่ครับว่าพ่อเป็นคนเอาของขวัญชิ้นนี้มาให้เป็นของขวัญผม”
ใช่สิ...ธันยานึกขึ้นมาได้ถึงคำถามของลูกชายเมื่อวันก่อนเพียงแต่มิได้คิดว่ามันจะมีความสำคัญสำหรับความรู้สึกนึกคิดของจอห์นเท่าไหร่นัก เธอระบายลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา
“แม่ฮะ...” จอห์นเอ่ยขึ้นอีก หลังจากที่นั่งนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เป็นครู่ “ฤดูร้อนปีนี้ ตอนที่โรงเรียนหยุดเทอม เราไปเยี่ยมพ่อกันได้ไหมฮะ”
“ถ้า...พ่อ... เขา” เธอตอบอย่างอึกอักเพราะกำลังพยายามคิดหาถ้อยคำที่จะไม่ทำให้ลูกชายบังเกิดความรู้สึกน้อยใจที่ว่า เจค ไม่เคยให้ความสนใจในตัวแกอย่างที่พ่อทั้งหลายพึงกระทำต่อลูกของตน หรือแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ต้องการจะติดต่อเกี่ยวข้องกับแก ซึ่งขณะนี้แววแห่งความน้อยใจนั้นก็ปรากฏให้เห็นอยู่แล้ว ในดวงตาที่กำลังจ้องมองหน้าเธออยู่ ... “แม่หมายถึงว่า ... ถ้าสถานการณ์ทางด้านการเมืองที่นั่นอนุญาตให้ เราก็ทำได้จ้ะ”
“ผมรู้แล้ว...ว่าแม่จะต้องตอบอะไรทำนองนั้น” น้ำเสียงของเด็กชาย บอกความน้อยใจขึ้นมาทันที ซึ่งทำให้ธันยารู้สึกรานร้าวในหัวใจยิ่งขึ้น
“เอาอย่างนี้ดีกว่า...บางทีนะ... ” ธันยาพยายามกล้ำกลืนความไม่สบายใจลงไว้แม้จะไม่พอใจในข้อเสนอแนะของตนเองแต่ก็จำต้องพูดออกไป “คืนนี้ เราจะลองเขียนจดหมายไปถึงพ่อกัน แล้วลองถามเขาดูซิว่าเขาพอจะปลีกตัวมาเยี่ยมบ้านสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ได้ไหม เอาตอนหน้าร้อนปีนี้ก็ได้”
จอห์นหันขวับมามองเธอทันที มือเล็ก ๆ ที่ปัดปอยผมบนหน้าผากอยู่ชะงักไป แววกึ่งหวังฉายประกายขึ้นในดวงตา และแล้วก็เมินลงมองนิ้วก้อยที่งอเข้าหาฝ่ามือ อันเป็นสัญลักษณ์ที่แกติดตัวมาแต่กำเนิด และเป็นเครื่องยืนยันว่าแกมีสายเลือดแลสสิเตอร์จริง
“แม่คิดว่าพ่อจะมางั้นหรือครับ” เด็กชายถาม
เธอแอบหวังอยู่ในใจว่า เจคจะต้องไม่มาอย่างเด็ดขาดแต่แล้วคำภาวนานั้นก็ต้องเลือนหายไปจากความคิดเมื่อสบสายตาของลูกชายที่กำลังมองมา
“ไม่รู้สินะ แต่มันก็เป็นทางเดียวที่เราคิดว่าเขาน่าจะทำได้แต่แม่ก็แน่ใจนะว่าถ้าลองเขาได้รับจดหมายอย่างนี้แล้ว ถึงยังไงเขาก็ต้องมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าลูกจะเป็นคนเขียนไปหาเขาเอง” ธันยาไม่เคยยอมที่จะนำตัวเข้าไปข้องเกี่ยวในเรื่องการเขียนจดหมายติดต่อกันระหว่างพ่อลูก เธอไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในความรักของจอห์นที่มีต่อผู้ชายคนที่เธอเกลียดชังอย่างสุดหัวใจคนนี้จะมีก็แต่ในเทศกาลคริสต์มาส หรือไม่ก็วันเกิดเท่านั้นที่ธันยาจะสั่งให้จอห์นเขียนจดหมายไปกล่าวขอบคุณกับของขวัญที่เจคส่งมาให้ตามหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ
“งั้น เราก็กลับบ้านกันดีกว่านะครับ” รอยยิ้มกริ่มอยู่ทั่วหน้าของเด็กชายขณะที่แกกระโดดขึ้นยืน
“จอห์น...มีอย่างหนึ่งที่แม่จะต้องบอกให้หนูรู้ไว้ก่อนนะลูก” ธันยาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากที่พารถกลับขึ้นสู่ถนนเรียบร้อยแล้ว “คือ เพียงแค่ที่เราจะเขียนจดหมายไปถึงพ่อนั่นน่ะมันไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าพ่อจะสามารถจะปลีกตัวมาหาลูกได้หรอกนะ”
“ผมรู้ครับ... แต่ถึงยังไง ผมก็รู้ว่าพ่อจะต้องมา ... ผมรู้แล้วก็แน่ใจด้วยฮะแม่” น้ำเสียงของเด็กชายบอกความมั่นใจอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้เธออดนึกไปถึง สายสัมพันธ์อันแน่นเหนียวระหว่างความเป็นพ่อลูกของบุคคลทั้งสอง ซึ่งมีความสำคัญสำหรับชีวิตของเธอในคนละแบบไม่ได้ ไม่ว่าเธอจะต้องการหลีกเลี่ยงจากการเผชิญหน้ากับสามีมากแค่ไหน ลูกชายก็ต้องการจะเห็นหน้าพ่อมากขึ้นเพียงนั้น ซึ่งทำให้เธอไม่อาจจะขัดใจแกได้ “ที่ผมกำลังคิดอยู่ในเวลานี้ก็คือ ... หรือว่าพ่อจะน้อยใจว่าผมไม่แคร์พ่อก็ได้ ถ้าพ่อรู้ว่าผมต้องการพบพ่อมากแค่ไหนพ่อจะต้องรีบมาเลยนะฮะ ... ผมแน่ใจจริงๆ”
“เอาละ ถึงยังไงลูกจะต้องรู้จักเผื่อให้กับตัวเองไว้บ้าง บางทีถ้าฤดูร้อนปีนี้พ่อยังมาไม่ได้ พ่ออาจจะมาตอนฤดูใบไม้ร่วง หรือไม่ก็อาจจะเลยไปถึงวันคริสต์มาสก็ได้นะ เพราะฉะนั้น แม่ไม่อยากให้ลูกตั้งความหวังไว้สูงเกินไปเลยลูก เพราะบางทีถ้างานยุ่งมาก ๆ หรือว่ามีภารกิจติดพันอยู่ พ่ออาจจะไม่สามารถปลีกตัวตามที่ลูกต้องการได้เลย”
“จริงๆ นะฮะ แม่ ผมอยากให้พ่อมาถึงเสียเดี๋ยวนี้เลย แดนนี่ กิลเบิร์ต จะได้รู้เสียที่ว่าผมมีพ่อจริงๆ แล้วพ่อก็อยู่ในแอฟริกาจริงๆ ด้วย” จอห์นหันมาสบตากันยาอย่างกระตือรือร้น “งั้นพอทานอาหารค่ำเสร็จแล้วเราเขียนจดหมายกันเลยดีไหมฮะแม่”
“ได้สิจ๊ะ เขียนตอนนั้นก็ได้” ธันยาคล้อยตามทั้งที่หัวใจกำลังวูบด้วยความรู้สึกหมดหวัง
“แล้วเราส่งไปทาแอร์เมล์เลยนะฮะ พ่อจะได้รับจดหมายเร็ว ๆ ไงล่ะ”
“ได้สิลูก ส่งทางแอร์เมล์เลยก็ได้” เธอพยักหน้ารับรองไปตามเรื่อง ด้วยไม่รู้สึกเต็มใจแม้แต่น้อย