บทที่ 1
ถนนสายที่ลาดด้วยยางอัสฟัลต์ ประหนึ่งงูใหญ่ที่ทอดลำตัวเลื้อยเลาะไปตามสันเขา คดเคี้ยวและเหยียดยาวตรงไปยังดิววี่ บอลด์ หลายจุดบนเส้นทางสายนี้ ที่แมกไม้บางตาลงจนสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของ โอซาร์ค เมาเท่น ตระหง่านอยู่เหนือแผ่นดินแห่งรัฐมิสซูรี่ได้อย่างชัดเจน แนวป่าทั้งสองข้างทางและเหนือสันเขาโดยรอบ ถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียวสดใสแห่งฤดูใบไม้ผลิที่เวียนมาถึง นับแต่สีเขียวเข้มของต้นซีดาร์ไปจนถึงสีเขียวอ่อนจางของใบไม้อ่อนแรกผลิ บนแผ่นภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ธรรมชาติเป็นจิตรกรนี้ บางจุดราวกับได้สลัดปลายพู่กันที่มีสีแดงระดับต่างๆ ของฤดูใบไม้ร่วงลงไว้และใช้สีขาวของดอกด๊อกวู๊ดที่บานไสวเป็นสีตัด ขณะเดียว กันบนพื้นพรมสีเขียวขจี ธรรมชาติก็ราวจะโยนดอกไม้ที่หลากสีสันลงกระจายแต่งแต้มไว้ ภาพที่เกิดขึ้นจึงประกอบด้วยความงามอันเหลือพรรณนา
“เราหยุดตรงที่ชมวิว แซมมี่เดี๋ยวหนึ่งได้ไหมฮะ”
ธันยา แลสสิเตอร์ละสายตาจากเส้นทางเบื้องหน้าและทิวทัศน์สองข้างทางทันทีที่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ เอ่ยถามขึ้นข้างตัวเรียวปากของเธอฉาบขึ้นด้วยรอยยิ้ม เมื่อสบสายตากับดวงตาคู่สีฟ้าที่กำลังมองมาอย่างกระตือรือร้นเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างตัวเธอในยามนี้ มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มราวเส้นไหม ซึ่งทำให้ปลายคางแหลมๆ นั้นดูอ่อนโยนลง ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะมีลูกชายที่ทั้งน่ารักทั้งฉลาด เช่นจอห์นลูกคนเดียวของเธอมันเป็นความคิดที่เปี่ยมท้นอยู่ด้วยความรักและความพึงใจในสมบัติอันล้ำค่าชิ้นนี้ จอห์นเพิ่งจะอายุได้แค่ 7 ขวบแต่ทว่าเขามีบุคลิกลักษณะที่พ่อแม่ทุกคน อยากจะให้ลูกของตนมี โดยเฉพาะดวงตาคู่แจ่มแจ๋วคู่นั้น ที่เตือนใจให้นึกถึงท้องฟ้าสีครามอันอบอุ่นแห่งฤดูร้อนอยู่เสมอ
“ได้ไหมฮะ” เด็กชายรุกเร้าเอาคำตอบ
“ประเดี๋ยวเดียวคงจะได้นะ” ธันยาตอบอย่างเอาใจขณะเดียวกัน เรียวปากก็เม้มสนิทลงอย่างจะใช้ความคิด แต่แล้วก็คลายออกอย่างรวดเร็ว “แม่กลัวว่าตอนนี้คุณย่าคงจะรอทานอาหารเย็นอยู่ เพราะฉะนั้น เราเห็นจะมัวชักช้ากันนักไม่ได้แน่”
ไม่มีคำตอบจากเด็กชาย ซึ่งทำให้ธันยาต้องเหลือบตามองไปทางลูกอีกครั้งและเห็นจอห์นเมินมองออกไปนอกหน้าต่างจากเสี้ยวหน้าด้านข้าง ทำให้เห็นว่าจอห์นเองก็เหมือนจะใช้ความคิดในอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าของหนุ่มน้อยก็สงบ ธันยารู้ดีว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังรบกวนจิตใจของลูกชายอยู่ในยามนี้ อีกไม่นานก็จะต้องได้รับรู้ หลังจากที่แกคิดออกเรียบร้อยแล้ว
จอห์นกระโดดลงไปยืนรออยู่ข้างถนนก่อนแล้วตอนที่ธันยาวุ่นอยู่กับการล็อครถ วันนี้เธออยู่ในสเวตเตอร์แบบจั้มเอวคอตลบ แขนสั้นสีแดงอ่อน เข้ากันกับสีแดงลายทางของตัวกางเกง ส่วนเสื้อแขนยาวตัวในนั้น เป็นสีครีมหลังจากที่ล็อครถเรียบร้อยแล้วก็ใช้หนังยางรวบพวงผมไว้ รีบรุดตรงไปยังที่ซึ่งเด็กชายในเสื้อกันลมสีฟ้าอ่อนเข้ากันกับกางเกงยีนส์ที่สวมกำลังยืนรออยู่
จากนั้น ทั้งสองแม่ลูกก็เดินจูงมือกัน ตรงไปยังชะง่อนหินสีเทา ซึ่งตรงจากจุดนั้นเมื่อมองลงไปเบื้องล่าง จะเห็นหุบเขาที่มีชื่อว่า มัตตั้น ฮอลโลว์ กับเส้นทางเกวียนเก่าแก่ที่ไม่มีใครรู้ว่ามีมานานเท่าใดแล้วอยู่เบื้องล่าง
ภาพของบุคคลทั้งสองเป็นภาพที่ชวนมองอย่างประหลาดผู้เป็นแม่นั้นมีเรือนร่างสูงโปร่ง ระเหิดระหงและมีความเป็นผู้หญิงทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนผู้เป็นลูก คือความสง่าผ่าเผย แบบเด็กชายที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มที่องอาจ ขณะที่จอห์นผละจากมารดาเดินตรงไปยังชะง่อนหินสีเทาใหญ่นั้น ธันยาก็เดินเรื่อยขึ้นไปยังเนินเขาเบื้องหน้า ซึ่งแม้ว่าจากจุดนั้นเธอจะมองลงไปไม่เห็นหุบเขาเบื้องล่าง แต่ก็ปลอดจากสายตาของยวดยานพาหนะทั้งหลายที่วิ่งกันอยู่บนถนนที่ต่ำลงไป ซึ่งส่วนใหญ่ในฤดูนี้ก็จะมีแต่ยวดยานพาหนะของผู้คนที่อยู่ในแถบนี้เท่านั้น สำหรับเหล่านักทัศนาจรทั้งหลาย จะมาถึงแถบนี้ก็ต่อเมื่อฤดูร้อนมาถึงเท่านั้น
เด็กชายขึ้นไปยืนอยู่บนชะง่อนหิน กวาดสายตาชมทัศนียภาพเบื้องหน้า ท่าทางยืนของแกในยามนี้บอกให้รู้ถึงสัญชาตญาณแห่งความทระนง ขาทั้งสองข้างแยกห่างจากกันมือเท้าอยู่กับสะเอว ถ้าจะมองกันอย่างผิวเผินแล้วเขามีบุคลิกลักษณะของบุคคลที่พร้อมจะก้าวออกไปสู่โลกกว้าง มีความรื่นรมย์อยู่ในหัวใจ มีความรักสนุกอย่างเด็ก ๆ อยู่และมักจะมีความสงสัยใคร่รู้ในสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ
แต่ลูกชายของเธอ ในบางครั้งก็ชอบจะอยู่แต่ผู้เดียวตามลำพัง ใช้ความคิดเงียบ ๆ และในยามนั้นที่เธอจะมีความรู้สึกว่า แท้ที่จริงแล้ว จอห์นเป็นเด็กที่จริงจังต่อชีวิตมาก มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่ หรือคนที่โตแล้ว แต่เมื่ออยู่กับเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกัน จอห์นจะไม่แสดงท่าทีอะไรเช่นนี้ออกมาเลย แต่กระนั้น ก็ยังเห็นได้ชัดว่าแกผิดแผกแตกต่างกว่าเด็กอื่น ๆ อยู่ แต่ธันยาก็พยายามปัดความคิดเช่นนั้นออกไปเสียจากจิตใจ ลงโทษว่าอาจจะเป็นเพราะเธอมีความกังวลในตัวลูกชายมากเกินไปก็เป็นได้
เธอเอนหลังพิงโขดหินไว้ จับตาดูดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยลงจากขอบฟ้าเบื้องทิศตะวันตก นกโรบิ้นตัวหนึ่งกรีดปีกร่อนถลาผ่านหน้าไป มันคงจะกลับไปยังรวงรัง ซึ่ง ณ ที่นั้นที่นั้นมีคู่ของมันที่กำลังรอคอยอยู่ ความรานร้าวแน่นขึ้นมาในหัวใจ และค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย
บัดนี้ เป็นช่วงแห่งกาลเวลาที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้ว่าถึงฤดูแห่งการผสมพันธุ์แล้ว มันเป็นความอาวรณ์ที่ล้ำลึกนึกยามที่ธันยาตระหนักถึงความปรารถนาทางธรรมชาติที่กำลังบีบคั้นจิตใจของเธออยู่
เธอคือสตรีสาวโสภาอยู่ในวัย 26 ที่ความงามกำลังบานสะพรั่ง และต้องการที่จะมีใครสักคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่เป็นผู้ชายไว้สำหรับเสนอและสนองในความรัก ซึ่งมันก็เป็นความจริงและสิ่งธรรมดาที่สุดสำหรับธรรมชาติของมนุษย์
ดูเหมือนจะไม่เคยมีใครที่ได้พบเห็นเธอแล้ว จะต้องสงสัยในความงามของเธอเลย เรือนผมสลวยงามเป็นสีน้ำตาลอ่อนแกมบลอนด์ ประหนึ่งสีน้ำผึ้ง ซึ่งเธอจะหวีเสยจากแนวหน้าผากกลมมนลงมาเคลียไหล่ เผยให้เห็นรูปหน้าที่สมบูรณ์แบบโหนกแก้มและสันจมูกเป็นส่วนประกอบอันงดงามแบบคลาสสิคเลยไปถึงเรียวปากอันยวนใจซึ่งมักจะฉาบอยู่ด้วยรอยยิ้มเสมอจะมีก็แต่ดวงตาสีน้ำตาลแกมทองคู่นั้น ที่มักจะอำพรางความรู้สึกทั้งหลายที่รุมเร้าอยู่ในใจไว้ไม่เผยออกมาให้ใครเห็น
ไม่มีสิ่งใดในรูปลักษณ์เรือนกายของเธอยามนี้ที่เตือนใจให้นึกถึงเด็กสาววัยบริสุทธิ์คนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาถึงแผ่นดินแห่งนี้ พร้อมด้วยลูกชายตัวน้อยในอ้อมแขน อิทธิพลและตัวอย่างทั้งหลายรวมทั้งการอบรมสั่งสอนจากมารดาของสามี...จูเลีย แลสสิเตอร์ ได้ลบร่องรอยของเด็กสาววัยกำลังศึกษาออกไปจากท่วงท่าของเธอจดหมดสิ้น และแล้วเธอก็ได้กลายเป็นสตรีสาวโสภา ซึ่งเต็มไปด้วยกิริยามรรยาทที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีขึ้นมาแทน
แต่ถ้ามันจะมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ และจะไม่มีวันเลือนหายไปจากความทรงจำรำลึกของเธอได้ สิ่งนั้นก็คือ...สิ่งที่ธันยาเฝ้าบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เจค แลสสิเตอร์เป็นบุรุษที่ทำให้เธอต้องเกลียดชังผู้ชายแทบจะทุกคนไป การที่เธอพยายามธำรงรักษาชีวิตสมรสของตัวเองไว้ จนกระทั่ง ทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะว่า เธอยังมีลูกอยู่เท่านั้น จอห์นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เธอมี เขาเป็นของเธอ และจะไม่มีวันที่ใครจะเอื้อมมือเข้ามาพรากไปจากอกของเธอได้...ตราบใดที่เธอยังต้องอยู่ในฐานะภรรยาของ เจค แลสสิเตอร์