#3
ตั้งแต่วันที่นางละทิ้งตำแหน่งแม่ทัพ ก้าวขึ้นเป็นมารดาของแผ่นดิน ความคิดที่จะได้ออกมาเห็นโลกภายนอกย่อมไม่เคยมีอยู่ในหัว ทว่ายามนี้ นางได้มายืนตรงนี้แล้ว ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ที่สวรรค์มอบโอกาสให้
เป่ยจิง เมืองหลวงแห่งต้าหมิงนับว่าเจริญรุ่งเรืองไม่น้อย ตามตรอกซอกซอยมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาด เสื้อผ้าอาภรณ์รูปทรงแปลกใหม่ บ้านเรือนมีตั้งแต่จวนหลังใหญ่ไปจนถึงตึกสองชั้นและหอคอย เดินมาได้ระยะหนึ่งจะเห็นแผงลอยมากมายตั้งอยู่สองข้างทาง รวมทั้งพ่อค้าหาบเร่เดินกันขวักไขว่ แลดูคึกคักเป็นที่สุด
หงซิ่วชมดูอย่างผ่อนคลาย รู้สึกปลอดโปร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงตอนนี้นางจะไม่รู้เหตุผลของสวรรค์ แต่นับว่าดียิ่งนักที่อย่างน้อยนางยังมีอิสระ หงซิ่วตัดสินใจเดินเลี้ยวขึ้นไปบนสะพานข้ามคูเมือง หยุดยืนกลางสะพาน ชมดูพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังล่องเรือขายของ เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วคุ้งน้ำ ทิวสนสองข้างทางทอดเงาตั้งตระหง่าน
ร่างบอบบางยืนนิ่งไม่ไหวติง เส้นผมดำเป็นเงาต้องลมฤดูใบไม้ผลิปลิวไสว แลดูงดงามชวนมอง ทว่ารัศมีรอบกายกลับทำให้ผู้คนไม่กล้าเดินเฉียดใกล้ ทำได้เพียงลอบมองด้วยความชื่นชม
นางหาได้รับรู้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา เพียงก้มหน้ามองเงาในน้ำ นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แม้ไม่ชัดนัก ทว่ายังพอมองออกว่างดงาม ในหัวไพร่คิดไปถึงหงซิ่วในอดีต
มารดาของโส่วหงซิ่วสิ้นใจตายหลังจากที่คลอดนางออกมา เป็นเหตุให้บิดาจงเกลียดจงชัง แม่ทัพโส่วปล่อยให้ธิดาคนโตเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของสาวใช้โดยไม่เหลียวแล หากไม่เกรงใจบ้านพ่อตาที่มีตำแหน่งป๋อ ชีวิตของโส่วหงซิ่วคงตกอยู่ในความทรมานมากกว่านี้
ทว่าสาวใช้เหล่านั้นหาใช่ตัวดีอันใด ที่ยอมทนเลี้ยงดูโส่วหงซิ่วมาจนทุกวันนี้เพียงเพราะสินเดิมของมารดานาง ไม่รู้ว่าของมีค่ามากมายเท่าใดที่สาวใช้เหล่านั้นลักลอบขโมยออกไป ตั้งแต่หงซิ่วจำความได้ สาวใช้เหล่านี้ก็เริ่มบ่มเพาะนิสัยผิดๆ จนนางเติบโตมาเป็นคนอารมณ์ร้ายเอาแต่ใจ แม้แต่ความงดงามยังถูกบดบังด้วยการจัดหาเสื้อผ้าไม่เหมาะสมมาให้
ก่อนหน้านี้ หงซิ่วมักทาแป้งทาชาดหนาเตอะจนมองไม่เห็นผิวหน้าที่แท้จริง ชุดที่สวมใส่มีแต่สีฉูดฉาดสลับสีมั่วซั่ว ยามออกงานเลยกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน กระทั่งแผนต่ำช้าในงานบุปผา ยังเป็นสาวใช้เหล่านั้นบงการ สุดท้ายแล้ว กรรมก็ตามสนองต้องมาถูกจวิ้นอ๋องโบยจนตาย
ในขณะที่หงซิ่วกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด พลันได้ยินเสียงพระภิกษุรูปหนึ่งดึงขึ้นในโสต “ที่สมควรมาก็มาแล้ว ที่สมควรชดใช้ ก็ต้องชดใช้ เคยขโมยชะตาชีวิตของผู้ใดไป ก็ควรจะมอบคืนให้เจ้าของ”
นางรีบหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงชายจีวรหายเข้าไปในตรอก หงซิ่วหมุนตัวคิดจะตามไป ทว่าจังหวะนั้นกลับชนเข้ากับเด็กสาวผู้หนึ่ง ด้วยความที่มีเท้าเล็ก ร่างของนางจึงเซถลาไปหลายก้าว ก่อนจะกลับมายืนอย่างมั่นคง แต่เด็กสาวผู้นั้นกลับล้มไม่เป็นท่า
นางยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยประคอง ชายฉกรรจ์ท่าทางเดือดดาลก็วิ่งตามมา ทั้งสองหยุดยืนห่างจากหงซิ่วไปสี่ก้าว ชี้นิ้วไปยังเด็กสาวที่ล้มอยู่บนพื้น พลางตวาดเสียงดัง “นางตัวบัดซบ! คุณชายของข้าต้องตาเจ้า นั่นนับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้ว ริอ่านวิ่งหนี ดูสิเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก!” เอ่ยจบหนึ่งในนั้นก็ทำท่าจะเข้ามาจับ แต่หงซิ่วรีบก้าวเข้าไปขวาง
เดิมทีด้วยความโมโห พวกมันเลยไม่ทันสังเกต ครั้นเมื่อหงซิ่วมายืนเบื้องหน้า ถึงได้เห็นนางชัดขึ้น
อันที่จริงโส่วหงซิ่วนับว่าเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตาดีมากคนหนึ่ง เครื่องหน้างดงามเป็นเอกลักษณ์ ปากนิดจมูกหน่อยแลดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณขาวผุดผ่องจนแทบจะส่องประกาย พอไม่ได้สวมอาภรณ์สลับสี แต่งหน้าทาชาดหนาเตอะ ความงามจึงเห็นเด่นชัด
ด้วยความงดงามหาใดเปรียบนี้ ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองลืมเลือนเด็กสาวอีกคนไปสิ้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม มองมาอย่างจาบจ้วง หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “สาวน้อย เจ้าสนใจจะไปพบปะกับคุณชายของพวกข้าหรือไม่ ข้ารับรองเลยว่าคุณชายบ้านเราต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน”
หงซิ่วมองคนทั้งสองด้วยแววตาเฉยเมย ตอบกลับเสียงเรียบ “ข้าก็อยากจะให้เกียรติคุณชายของพวกเจ้าอยู่เหมือนกัน แต่เกรงว่าเขาจะรับเกียรติจากข้าไม่ไหว มิสู้เจ้ากลับไปถามคุณชายของพวกเจ้าให้ดีก่อน ว่าอยากพบคุณหนูแซ่โส่วหรือไม่”
ทั้งสองคนได้ยินก็ผงะ รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง ในเมืองเป่ยจริงมีผู้ใดบ้างไม่รู้จักแม่ทัพโส่ว ดวงตาสองคู่กลอกไปกลอกมา ยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพากันรีบจากไป
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ส่ายหน้า หลายคนรู้สึกเวทนาเด็กสาวผู้นั้นไม่น้อย คล้ายว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยจนชิน
นางยังไม่ทันหันกลับมา ก็ได้ยินเสียงสั่นเทาดังมาจากเบื้องหลัง “ขอบคุณพี่สาวที่ให้การช่วยเหลือ พระคุณในวันนี้ ทั่งเจียวต้องขอตอบแทนในวันหน้าแล้ว” หงซิ่วหมุนตัวกลับมามองสำรวจเด็กสาวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้บาดเจ็บก็วางใจ ก่อนจะถามกลับไปว่า “เจ้าจะไปที่ใด”
“กลับบ้านเจ้าค่ะ” เด็กสาวก้มหน้าตอบ
หงซิ่วเห็นว่าคงไม่เป็นการดีที่จะปล่อยให้นางเดินกลับตามลำพังจึงอาสาไปส่ง ตลอดทางเดิน เด็กสาวผู้นั้นไม่เอ่ยวาจาสักคำ ได้แต่เดินก้มหน้าไปตลอดเส้นทาง แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าดวงตาทั้งสองมีน้ำเอ่อคลอ เดิมทีหงซิ่วเป็นคนเงียบขรึมอยู่แล้ว ทั้งคู่จึงไม่ได้พูดคุยกัน
กระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งในชุมชนแออัดเขตเหอกวาน ทั่งเจียวรีบยกมือปาดน้ำตา หันมากล่าว “ข้าแซ่จิน นามว่าทั่งเจียว ต้องขอขอบคุณพี่สาวอีกครั้ง บุญคุณที่ท่านช่วยเหลือ ทั้งเจียวไม่มีวันลืมเลือน สักวันทั้งเจียวจะตอบแทนท่านแน่นอน”
หัวคิ้วของหงซิ่วขยับเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับย่นเข้าหากัน รู้สึกติดใจกับแซ่ของอีกฝ่าย จึงกล่าวถามไปว่า “บิดาของเจ้ามีนามว่าอันใด”
เด็กสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้มเศร้า “บิดาข้ามีนามว่าทั่งหยวน”
“จินทั่งหยวน ที่เป็นรองแม่ทัพน่ะหรือ?” หงซิ่วถามอีก แต่ครานี้ทั่งเจียวกลับส่ายหน้า ตอบว่า “บิดาข้าเป็นทหารยามเฝ้าประตูเมือง”
หงซิ่วนิ่งไปหลายอึดใจ กวาดสายตาข้ามรั้วไม้ไผ่สูงแค่อกเข้าไปสำรวจตัวบ้าน มองปราดเดียวก็รู้ว่าความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ไม่สู้จะดีนัก เมื่อใดกันที่ทั่งหยวนมีชีวิตตกต่ำถึงเพียงนี้ คิดแล้ว ความรู้สึกผิดขุมหนึ่งก็บังเกิดขึ้นในใจ สุดท้ายก็ได้แต่หันไปกล่าวกับทั่งเจียว “เจ้าเข้าบ้านเถิด ข้าจะกลับแล้ว”
ทั่งเจียวหันกลับมากล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดประตูเดินเข้าบ้าน หงซิ่วมองตามแผ่นหลังผอมบางนั้นไปด้วยความรู้สึกสับสนปนเป แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินกลับจวนมาได้อย่างไร