#4
ทหารยามคนเดิมเป็นผู้มาเปิดประตูข้างรับนาง สีหน้าท่าทางไม่เป็นมิตร หงซิ่วไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเขา เดินผ่านไปด้วยใบหน้าเฉยเมย ได้ยินทหารยามผู้นั้นตะโกนขึ้นประโยคหนึ่ง “ท่านอ๋องสั่งว่า หากท่านกลับมาให้ไปพบในห้องโถงกลางทันที!”
นางเดินตรงไปยังตำหนักแฝด กระทั่งมาถึงห้องโถงที่ว่า
ที่นั่นนางพบว่าหมิงซีเหอมารออยู่ก่อนแล้ว สีหน้าท่าทางคล้ายอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ซ้ายมือของเขามีสาวใช้ยืนก้มหน้าอยู่ ส่วนขวามือคือกงกงคนสนิท นามฉวีซื่อ ครั้นเห็นนางเดินเข้ามา เขาก็ปรี่เข้ามาตบนางจนหน้าหัน
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังก้องไปทั่วห้องโถง หงซิ่วไม่แม้แต่จะกะพริบตาหรือยกมือกุมแก้ม เพียงหันกลับมามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ใบหน้าหล่อเหลาของหมิงซีเหอบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ กระชากผมนางจนหน้าหงาย ตวาดเสียงเยียบเย็น “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงผลักอีเอ๋อตกน้ำ โดนโบยไปคราวก่อนมันน้อยไปใช่หรือไม่!”
หงซิ่วมองเขาอย่างโง่งมระคนเบื่อหน่าย ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว เขาตบนางอีกฉาดหนึ่ง ก่อนจะผลักร่างของนางล้มลงไปกองกับพื้น สายตาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ กล่าวอย่างเย็นชา “โส่วหงซิ่ว หากอีเอ๋อเป็นอันใดไป ข้าจะทำให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”
นางยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงลำคอตลอดจนแผ่นหลังตั้งตรงสง่างาม ประหนึ่งว่าไม่ใช่ตัวนางที่ถูกตบตี ยืนสงบนิ่งไม่ปริปาก
ถึงยามนี้ หมิงซีเหอพึ่งจะพบว่า คนตรงหน้าไม่เหมือนเดิม เมื่อใดกันที่นางดูเปลี่ยนไปเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย หรือแม้กระทั่งอุปนิสัย คล้ายกับเป็นคนละคนก็ไม่ปาน ก่อนหน้านี้ หากเขาลงมือกับนาง สตรีนางนี้จะต้องกรีดร้องโวยวายเสียงดัง ด่าทอหยาบคาย พยายามทุบตีเอาคืน แต่นี่กลับ... หมิงซีเหอครุ่นคิดอย่างสับสน ความโกรธลดทอนไปกว่าครึ่ง แทนที่ด้วยความประหลาดใจ จึงไม่ได้คิดลงมือกับนางอีก
สาวใช้ที่ยืนอยู่เห็นท่าไม่ดี รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านอ๋องเพคะ เหตุใดป่านนี้ท่านหมอยังไม่ออกมารายงานอาการของคุณหนูอีก อาการคงหนักมิใช่น้อยเป็นแน่ ฮึก” ซุ่นหยิงคุกเข่าลงยกชายแขนเสื้อซับน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น
หงซิ่วปรายตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าเป็นห่วงเจ้านายจริง ไฉนถึงยังมานั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนี้ มิใช่ว่าเจ้าสมควรไปเฝ้าอยู่หน้าห้องหรอกหรือ”
กับหมิงซีเหอนางยอมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมลงให้ผู้อื่นด้วย หงซิ่วกล่าวต่อไปอีกว่า “ไหนๆ เจ้าก็เป็นผู้นำเรื่องมาฟ้องร้องต่อท่านอ๋องแล้ว เช่นนั้น ในฐานะที่ข้าตกเป็นจำเลย ข้าอยากจะซักถามเจ้าสักประโยคสองประโยค”
เห็นว่าเขาไม่มีทีท่าคัดค้าน หงซิ่วย่อมไม่สนใจว่าสาวใช้นางนี้จะยินยอมหรือไม่ นางเอ่ยถามคำถามแรกทันที “ผู้ใดเห็นว่าข้าผลักสวีอีตกน้ำ” ซุ่นหยิงรีบเชิดหน้าตอบ “ข้ากับซุ่นจั้งล้วนเห็นด้วยตาตัวเอง”
“อ้อ” นางขานรับคำหนึ่ง ถามต่อไปว่า “เจ้าเห็น แต่ยังยอมให้ข้าผลักเจ้านายของพวกเจ้าตกน้ำอย่างนั้นหรือ?”
ด้วยไม่คิดว่าจะถูกถามเช่นนี้ ซุ่นหยิงจึงมีท่าทีอึกอัก ตอบเสียงไม่เป็นธรรมชาตินัก “พะ..พวกเราอยู่ไกล เลยเข้าไปช่วยไม่ทัน”
“อ้อ” หงซิ่วพยักหน้า ถามต่อไปว่า “แล้วเหตุใดสวีอีถึงยอมให้ข้าผลักตกน้ำได้ง่ายปานนั้น”
ครั้นได้ยินคำถามสุดท้าย ใบหน้าของซุ่นหยิงพลันเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ กล่าวเสียงดังกึ่งตะคอก “ท่านรอให้คุณหนูหันหลังแล้วผลักคุณหนู พวกบ่าวเห็นกับตาแท้ๆ อย่าได้คิดมาตั้งคำถามเบี่ยงเบนความชั่วช้าของตัวเอง ท่านอ๋องไม่มีทางฟังท่านแน่!”
หงซิ่วโต้กลับทันทีโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ท่านอ๋องจะฟังหรือไม่นั้น ข้าที่เป็นจวิ้นหวางเฟยยังมิกล้าบังอาจตัดสินใจ แล้วสาวใช้อย่างเจ้าเป็นผู้ใดถึงได้กล้าคิดแทน น้ำในสระบัวตื้นเขินเพียงใด คนทั้งจวนหาใช่ไม่รู้ พวกเจ้าคิดใช้แผนสกปรกใส่ร้ายผู้อื่น ควรจะฉลาดกว่านี้หน่อย มิเช่นนั้น ผู้คนจะมองว่าจวิ้นอ๋องเป็นตัวโง่งมเอาได้”
ซุ่นหยิงได้ยินก็ตกใจจนผงะ ใบหน้าซีดเผือด รีบหันไปโขกศีรษะให้จวิ้นอ๋องไม่นับ พ่นวาจาว่าถูกใส่ร้ายฟังแทบไม่ได้ศัพท์
ทว่าหมิงซีเหอที่พึ่งถูกหลอกด่าว่าเป็นตัวโง่งม เริ่มจะเดือดดาลขึ้นมาแล้ว ไหนเลยยังทนฟังเสียงคร่ำครวญได้อยู่อีก เขาตวาดเสียงดัง “ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!”
หงซิ่วอาศัยโอกาสนี้ทำท่าจะเดินออกไป แต่ถูกเขากระชากแขนจนร่างเซถลาเข้าไปปะทะแผงอก เขาตะคอกใส่นางมาคำหนึ่ง “ไม่ใช่เจ้า!” ร่างของนางจมหายเข้าไปในอ้อมอกของเขาในท่วงท่าสนิทสนมชวนให้คิดลึก กระทั่งฉวีกงกงเห็นแล้วยังต้องรีบก้มหน้า ส่วนซุ่นหยิงรีบออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
ความใกล้ชิดที่มาโดยมิทันตั้งตัว ทำให้หมิงซีเหอร่างกายแข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะผลักร่างในอ้อมแขนออก
รูปร่างของหมิงซีเหอนับว่าดีงามไม่น้อย ไม่ได้ผอมบางอย่างบัณฑิตคงแก่เรียนและไม่ได้กำยำล่ำสันเหมือนทหาร สมส่วนพอดีตัวแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง ศีรษะของหงซิ่วสูงแค่ปลายคางของเขา
จวิ้นอ๋องปีนี้ย่างเข้าวัยยี่สิบสาม เครื่องหน้าหล่อเหลาสง่างาม ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์ทั่วไป ทั้งยังเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลายคนหมายปอง
บุรุษราชวงศ์หมิงในรุ่นนี้นอกจากฮ่องเต้หมิงซีจงแล้ว ก็เหลือเพียงท่านอ๋องทั้งสี่ ด้วยความหวาดระแวง ฮ่องเต้จึงมีพระประสงค์ให้อ๋องทั้งหลายประทับอยู่ในเมืองหลวง มิได้มอบหมายให้ไปปกครองหัวเมืองเหมือนแต่ก่อน ในบรรดาอ๋องที่เหลือ มีเพียงจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่ฮ่องเต้ให้เข้ามาช่วยงานฝ่ายบริหาร โดยรับตำแหน่งเจ้ากรมยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเรื่องกฎหมายบ้านเมือง
ชั่วขณะหนึ่ง แววตาของหงซิ่วที่มองเขาพลันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด ทว่าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลับเป็นว่างเปล่าดังเดิม
เขาถามนางอย่างดุดัน “เจ้าว่าผู้ใดเป็นตัวโง่งม!”
นางไม่ตอบ ทั้งยังไม่มองหน้า จนถูกเขาตะคอกใส่ “ข้าถาม เหตุใดไม่ตอบ หรือคิดอยากจะลองดี!”
หงซิ่วถอนหายใจออกมา อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อใดกันที่เด็กหนุ่มใสซื่อในวันวานเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ คาดว่าหากนางยังไม่ตอบอีก คนผู้นี้คงคลุ้มคลั่งเป็นแน่ จึงกล่าวว่า “มีประโยคใดที่หม่อมฉันต่อว่าท่านอ๋องเป็นตัวโง่งมเพคะ”
หมิงซีเหอตอบกลับทันควัน “อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า!”
หงซิ่วหันไปสบตากับเขา กล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย “ท่านรักนาง หาใช่เรื่องผิด แต่การที่ท่านเชื่อนางโดยไม่หาเหตุผลนั้นกลับเป็นการกระทำที่หลงผิด ตั้งแต่ท่านอ๋องสั่งโบยหม่อมฉันครานั้น ดวงตาของหม่อมฉันได้สว่างแล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลใจไป อีกไม่นานหม่อมฉันจะหย่าให้ ฝากท่านอ๋องไปบอกหญิงคนรักของท่านด้วยว่า ไม่ต้องรีบร้อนวางแผนให้เหนื่อย รอไม่เกินสามเดือนหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายจากไปเอง”
วาจานี้ของนางช่างกล่าวได้ชืดชาไร้หัวใจเป็นที่สุด แม้แต่หมิงซีเหอที่เกลียดนางเข้ากระดูกยังรู้สึกวูบโหวง ในใจเริ่มสับสน ทว่าครู่เดียวก็จางไป กลายเป็นความขุ่นเคืองเข้ามาแทนที่ ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเยาะ กล่าวว่า “เป็นเจ้าเองที่อยากแต่งเข้าจวนอ๋องของข้าจนถึงกับใช้แผนต่ำช้า มาบัดนี้กลับหน้าด้านกล่าววาจาเยี่ยงนี้ออกมาได้ ช่างน่านับถือจริงๆ หญิงสาวอย่างเจ้ามันก็แค่ตัวไร้ค่า ไม่มีสิทธิ์มาใช้วาจาตำหนิติว่าผู้ใด เจ้าจะอยู่หรือไป มันอยู่ที่การตัดสินใจของข้า! โส่วหงซิ่ว จงจำใส่หัวของเจ้าเอาไว้ให้ดี ว่าหากข้าอยากให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย อย่าได้มาเย่อหยิ่ง อวดดี กับข้า!”
นางคิดว่าคนผู้นี้คงเกินเยียวยาแล้วจริงๆ จึงคร้านจะเอ่ยวาจาอีก เมื่อนางไม่ตอบโต้ หมิงซีเหอก็สุดปัญญาจะหาเรื่อง ที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป