#2
เรือนที่หงซิ่วพำนักอยู่ เรียกขานว่าเรือนเฟ่ยอู่ จวิ้นอ๋องสั่งให้บ่าวนำป้ายมาแขวนหน้าเรือนหลังจากที่จับนางมาโยนทิ้งที่นี่ ความหมายเป็นที่รู้กันในหมู่บ่าวไพร่ ว่าเรือนแห่งนี้เป็นเรือนขยะ
ตัวเรือนสร้างจากไม้ ยกพื้นสูงเท่าบันไดสามขั้น ระเบียงหน้ากว้างสิบก้าว ประตูหน้าสองบานคู่ ครึ่งบานล่างทำจากไม้แดง ครึ่งบนเป็นฉลุลายเฉียงปิดทับด้วยกระดาษ ภายในเป็นโถงเล็ก เครื่องเรือนมีเพียงตั่งหนึ่งตัว กับโต๊ะกลมตั้งกลางห้องพร้อมเก้าอี้สองตัว มีหน้าต่างข้างละสองบาน ส่วนด้านซ้ายมือเป็นประตูเข้าสู่ห้องนอน
บนตั่งเล็ก หงซิ่วนั่งเอียงตัวเล็กน้อยเท้าศอกกับหมอนอิงทรงสามเหลี่ยมสีน้ำเงินไร้ลวดลาย นั่งทับอยู่บนขาสองข้างที่ไพล่ไปด้านหลัง ฝ่าเท้าเล็กที่ผ่านการรัดเท้าเหยียดตรง มือหนึ่งถือวรรณกรรมสามก๊ก ใบหน้าเอียงได้องศาพอประมาณไล่อ่านอักษรไปทีละตัว
แสงสว่างที่ส่องผ่านบานประตูเข้ามากระทบใบหน้าด้านข้าง ทำให้เกิดเงาจางๆ ส่งให้องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้า แลดูสงบนิ่ง ชวนให้หลงใหล ทว่าความงดงามนี้ กลับทำให้ผู้มาเยือนเรือนเฟ่ยอู่แทบคลุ้มคลั่ง
หลังจากที่ยืนมองอยู่นาน เหอสวีอีพลันก้าวมาหยุดยืนหน้าประตู แววตาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะเยื้องย่างเข้ามาในเรือน ยืนมองหงซิ่วจากมุมที่สูงกว่า กล่าวอย่างดูแคลน “ดูท่าว่าสุนัขอย่างเจ้าจะไม่เจียมตัวเอาเสียเลย ท่านอ๋องรังเกียจเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังจะหน้าด้านหน้าทนอยู่อีก”
วาจานี้ไม่มีผลกับหงซิ่วไม่แม้แต่น้อย คนยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่ง กระทั่งปรายตามองยังคร้านจะทำ เพียงพลิกหน้าตำราในมืออ่านอย่างสงบ ลำคอและแผ่นหลังตั้งตรงสูงส่งสง่างามหาได้เปรียบ เมื่อมาอยู่ใกล้กันเช่นนี้ ถึงแม้หนึ่งคนจะนั่ง หนึ่งคนจะยืน ทว่ากลับเห็นความแตกต่างชัดเจน สวีอีดูต่ำต้อยไปถนัดตา หากไม่ได้สวมใส่อาภรณ์หรูหรา ผู้คนที่พบเห็นคงมองนางเป็นเพียงสาวใช้
ความสูงต่ำเห็นชัดถึงเพียงนี้ สวีอีย่อมไม่ยินยอม ปรี่เข้ามากระชากหนังสือในมือของหงซิ่วโยนทิ้ง พลางตะคอกเสียงดัง “ข้าพูดกับเจ้า ไม่ได้ยินหรือ!”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นคราหนึ่ง ราวกับผู้เป็นเจ้าของลมหายใจนั้น รู้สึกเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา หากจะว่าไป อายุวิญญาณของหงซิ่วปาเข้าไปสามสิบห้าแล้ว ย่อมมองเหอสวีเป็นเพียงเด็กสาววัยเยาว์ผู้หนึ่ง ถ้าชาติที่แล้วนางมีธิดา คงมีอายุไล่เลี่ยกับเหอสวีอี
หงซิ่วไม่ใคร่จะใส่ใจเด็กสาวเบื้องหน้านัก ทั้งยังไม่อยากถือสา เหลือบมองเหอสวีอีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าสวีอีผู้นี้เป็นคนเช่นไร
ที่แท้สตรีที่หมิงซีเหอทุ่มเทความรักให้ กลับมิใช่ตัวดีอันใด เบื้องหน้าวางตัวน่ารักอ่อนหวาน อ่อนแอบอบบาง แต่เบื้องหลังกลับแฝงไว้ด้วยเล่ห์กลมารยา จิตใจชั่วร้ายอำมหิต ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าที่สวีอีมาเยือนเรือนเฟยอู่ มีจุดประสงค์อันใด
หงซิ่วขยับห้อยขาลงที่พื้น สวมรองเท้าคันศรอย่างใจเย็น ไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงครึ่งคำ
สวีอีไม่คิดว่าจะเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งจึงยังตั้งตัวไม่ทัน ตามที่นางวางแผนเอาไว้ โส่วหงซิ่วจะต้องตบตีทำร้ายนางเหมือนที่เคยทำ รอให้ท่านอ๋องกลับมานางจะฟ้องให้ท่านอ๋องลงโทษโบยหงซิ่วเหมือนครานั้น แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบสนอง กว่าจะทันรู้ตัว หงซิ่วก็ก้าวออกจากเรือนไปแล้ว
ครั้นพอตั้งสติได้ เหอสวีอีรีบตามออกมา ทว่าคนไปไกลแล้วเช่นกัน จึงได้แต่ย่ำเท้าอย่างขุ่นเคือง สบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย “นางหงซิ่ว นางลูกโสเภณี คอยดูเถิด ข้าจะทำให้ท่านอ๋องโบยตีเจ้าให้ได้!”
สาวใช้สองนางได้แต่ยืนก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หงซิ่วเดินเรื่อยเฉื่อยไปตามเส้นทางปูอิฐแดงผ่านสวนดอกไม้ บ่าวไพร่ที่เดินสวนทางไปมา ไม่มีผู้ใดทำความเคารพนาง มิหนำซ้ำยังมองอย่างดูถูก ทว่านั่นกลับไม่มีผลต่อหงซิ่วแม้แต่น้อย กระทั่งเดินมาจนถึงหน้าจวน ดวงตาเมล็ดชิ่งจ้องบานประตูใหญ่สีดำที่ทำจากไม้ชิงชัน พลางคิดไปว่า นานเท่าไหร่แล้ว ที่นางไม่ได้เห็นโลกภายนอก ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ หงซิ่วก็ก้าวตรงไปข้างหน้า ขณะกำลังจะก้าวขึ้นบันไดซุ้มประตู กลับถูกทวนเหล็กกั้นขวาง “จะไปที่ใด” เรื่องที่จวิ้นอ๋องประกาศว่านางเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง บ่าวไพร่ทั้งสูงทั้งต่ำต่างรู้กันทั่ว ทำให้ไม่มีผู้ใดให้ความเคารพนาง วาจาของทหารยามจึงก้าวร้าวดุดัน
หงซิ่วปรายตามอง ตวาดกลับไปเสียงดุดันยิ่งกว่า “ไสหัวไป! อย่าได้มาขวางข้า!” อำนาจที่ติดมากับจิตวิญญาณส่งให้เด็กสาวร่างกายอ่อนแอบอบบางแลดูน่าเกรงขาม กลิ่นอายสูงศักดิ์ตลบอบอวลไปทั่วร่าง ทหารยามผู้นั้นถึงกับผงะถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าแฝงไว้ด้วยความคลางแคลงระคนตกใจ เมื่อไม่มีผู้ใดขวาง หงซิ่วก็เดินขึ้นบันไดไปเปิดประตูเล็กด้านข้างก้าวออกจากจวน