บทที่ 4 เรื่องในอดีต 2
ซูลี่จูสะอื้นไห้ในลำคอ ความผิดนี้นางมีส่วนเกี่ยวข้อง หากนางมีสติและเตือนท่านพ่อ คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หลังจากประกาศพระราชโองการประหารและเนรเทศ ซูลี่จูก็ถูกพาไปยังลานประหารพร้อมกับบิดาและมารดา
ซูลี่จูถูกทหารผลักอย่างแรงจนล้มลงยังถูกทหารคนนั้นลากแขนบอบบางของนางโดยไม่คิดออมแรงแม้แต่น้อย
“ลุกขึ้น อย่าสำออย คนชั่วเช่นเจ้าตายเช่นนี้นับว่ายังน้อยไป”
ในขณะที่ก้าวเดิน บัดนี้ตนเองถูกผู้คนดูถูกเหยียดหยาม มันเจ็บปวดจนกระทั่งนางหวนคิดถึงเวลาที่นางเหยียดหยามผู้อื่น
“นั่นมิใช่อดีตฮูหยินท่านเจ้าเมืองหรือ”
“ใช่สิ นางชั่วช้าเลวทรามร่วมมือกับบิดาใส่ร้ายสกุลอัน ทำคนดี ๆ ตายไปหนึ่งคนทั้งยังทำให้สกุลอันเสื่อมเสียสมควรตายแล้ว”
“นางเคยเป็นสตรีที่ชื่อว่างามล่มเมือง ดูสภาพยามนี้สิผอมบางยิ่งกว่ากระดาษ ใบหน้าซูบผอมเหลือเพียงกระดูก หึ หากไม่ทำตัวต่ำช้าก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“คนชั่วเช่นนาง ตายไปย่อมตกนรก”
ชาวบ้านล้วนซุบซิบนินทา ไม่มีผู้ใดเห็นใจนาง มีเพียงคำสาปแช่งเท่านั้น
ความเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดเช่นนี้ยามนี้นางรับรู้ทั้งหมดแล้ว
นางไม่ได้หวาดกลัวความตาย หลายเดือนที่หลบซ่อนทำให้นางเข้าใจถึงการกระทำที่ผ่านมา กระทั่งสุดท้ายนางก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัวทำให้อาเจินต้องมาตายอีก
หากมีโอกาสนางอยากจะขออ้อนวอนสวรรค์ให้นางได้แก้ตัวอีกสักครั้งด้วยเถิด
ซูลี่จูถูกจับยืนบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เบื้องหน้านางคือเชือกที่ผูกเงื่อนตายแขวนลงมาจากขื่อ ลำคอของนางกำลังถูกเชือกคล้องเอาไว้
เมื่อเห็นนางอยู่บนเก้าอี้ชาวบ้านหลายคนถึงกับส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
“ฆ่านาง ฆ่านางเสีย”
และยามนี้นางก็ได้พบกับบิดามารดาแล้ว ทว่ากลับเป็นการพบที่ทำให้นางหัวใจแทบแตกสลายด้วยพวกเขาก็กำลังยืนอยู่บนเก้าอี้เตรียมถูกแขวนคอเช่นกัน
บิดากับมารดาล้วนมองหน้านาง ด้วยทุกคนล้วนถูกปิดปากบัดนี้จึงได้แต่ส่งสายตาให้กันและกัน สายตาแห่งความสิ้นหวังและยอมรับความตายแต่โดยดี
ซูลี่จูร้องไห้หลั่งน้ำตาและกรีดร้องอยู่ในอก ทว่าน้ำตาของนางไหลลงมาถึงเพียงครึ่งแก้มเก้าอี้ที่นางยืนอยู่ก็ถูกดึงออกไป
ทันใดนั้นลำคอพลันถูกบีบรัดอย่างแรง นางดิ้นรนเมื่อถูกเชือกเส้นใหญ่กดทับเข้าไปในเนื้อขาว ด้วยสัญชาตญาณทำให้นางกระเสือกกระสนมือเท้าปัดป่ายไปทั่วโดยไร้ทิศทางกลางอากาศ
นางหายใจไม่ออก รู้สึกทรมานที่สุดในชีวิตจนคิดร้องขอความตาย
ให้ข้าตายเร็ว ๆ เถิด
และในยามนี้นางก็ได้ยินคำของคนผู้หนึ่งดังออกมาจากที่แสนไกล
“ซูลี่จูหากมีโอกาสกลับไป เจ้าจะเปลี่ยนหรือไม่”
เสียงนี้เบาบางยิ่งนัก ทว่านางกลับเข้าใจได้อย่างชัดเจน นางไม่อาจพูดได้จึงได้แต่ตอบคำนี้ในใจ
‘เปลี่ยน ข้าจะเปลี่ยน ข้าจะเปลี่ยน’
และเสียงนั้นพลันหายไป ซูลี่จูยังดิ้นรนอย่างทรมาน แขนขากวัดแกว่งไร้ทิศทางกลางอากาศและดิ้นรนประดุจปลาที่ถูกทุบหัว
และแล้วหลังจากผ่านความทรมานที่แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วครู่แต่ซูลี่จูกลับรู้สึกว่าเนิ่นนานเกือบเท่าชีวิตของนาง ดวงตาคู่งามบัดนี้กลับมองเห็นแสงประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืดมนดุจค่ำคืนที่ไร้แสงดาว จากนั้นนางจึงมองเห็นลำแสงสีขาวอันริบหรี่จากที่แสนไกล
ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหลังจากทรมานอย่างเหลือแสนและนางก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
‘เจ้าจะเปลี่ยนหรือไม่...’
และแล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง