บทที่ 5 เกิดอะไรขึ้น
ซูลี่จูเบิกตาโพลง พร้อมกับอ้าปากกว้างเพื่อสูดลมเข้าสู่ร่างกายคล้ายคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตมา
ท่าทางตกใจของนางทำให้อาเจินสาวใช้ถึงกับผวามาหานางที่เตียง
“คุณหนูท่านเป็นอันใดหรือเจ้าคะ”
ซูลี่จูได้ยินเสียงของอาเจินอย่างชัดเจน นางมองไปรอบ ๆ บัดนี้นางกำลังอยู่ที่ใด นางตายแล้วหรือจึงได้พบกับอาเจินอีกครั้ง
“คุณหนูเจ้าคะ เป็นอะไรหรือไม่”
ซูลี่จูมองมือของตัวเอง นางมองหน้าของอาเจินไม่ชัดนัก ด้วยห้องนี้มืดเพียงนี้
“อาเจิน ที่นี่ที่ไหนหรือ”
อาเจินงงงวยยิ่งนัก
“จวนท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”
“มิใช่ยมโลกหรือ เจ้าเป็นคนดีไยจึงได้ตกนรกเหมือนข้า”
อาเจินทั้งงงงวยทั้งมีสีหน้าหวาดหวั่น
“คุณหนู ท่านยังไม่ตายนะเจ้าคะจะไปยมโลกได้อย่างไร อีกอย่างบ่าวก็ไม่อยากตกนรกเจ้าค่ะ”
ซูลี่จูเบิกตากว้าง นางจ้องหน้าอาเจินจากนั้นก็ดึงอาเจินเข้ามากอดด้วยความยินดี
“อาเจินข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่”
อาเจินไม่คุ้นเคยกับสัมผัสนี้ของนาง ด้วยนับตั้งแต่เติบโตมาเคียงข้างคอยรับใช้มักจะถูกซูลี่จูใช้เป็นที่รองรับอารมณ์เสมอ
อาเจินตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ มิใช่ว่าคุณหนูของนางเกิดอาการเห็นภาพหลอนในฝันจนทำให้เป็นเช่นนี้หรอกนะ
เสียงของอาเจินในยามที่เอ่ยปลอบจึงสั่นโดยไม่อาจควบคุม
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านนั่งอยู่ข้างนอกตากฝนเช่นนั้นจนทำให้ล้มป่วย สุขภาพของท่านยังไม่ดี ตัวก็ยังร้อนเพราะไข้หวัดท่านนอนเถิดนะเจ้าคะ อย่าฝืนทนลุกขึ้นมาเลย”
ซูลี่จูขมวดคิ้ว ท่าทางสับสนยิ่งนัก ร่างกายของนางสั่นระริกเมื่อได้ยินอาเจินบอกว่านางยังไม่ตาย
“ขะ ข้ายังไม่ตายจริงหรือ”
อาเจินไม่กล้ามองหน้าคุณหนูตรง ๆ ริมฝีปากยังสั่นด้วยขลาดกลัว
“ยังไม่ตายเจ้าค่ะ”
ซูลี่จูจ้องนางเขม็ง ยิ่งทำให้อาเจินหวาดหวั่น
“อาเจิน ข้ายังไม่ตาย เจ้าก็ยังไม่ตายใช่หรือไม่ เจ้าถูกแทงตรงนี้ข้าเห็นกับตา อาเจินข้าเห็นกับตา ข้าทำให้เจ้าตาย”
ซูลี่จูกลืนน้ำลายลงคอ น้ำตาไหลพรากเอ่ยทั้งสะอื้น อาเจินถึงกับตื่นตะลึงในท่าทางประหลาดนี้ของนาง
หรือป่วยจนสติเพี้ยนไปแล้ว อาเจินขยับปากแทบไม่ออกเพราะหวาดกลัวว่าคุณหนูจะเป็นบ้า และลงมือแทงนางอย่างที่พูด
“อาเจิน เจ้าต้องตอบข้า ตอบข้ามา”
ถูกคุณหนูคาดคั้นอาเจินจึงรวบรวมความกล้า พูดกับซูลี่จูมากที่สุดในชีวิตของตนเอง
“บ่าวไม่ตายเจ้าค่ะ บ่าวสบายดีไม่ได้ถูกแทง ส่วนคุณหนูเพราะนั่งคุกเข่าขอความเห็นใจจากนายท่านทั้งยังตากฝนจึงได้ล้มป่วย อาการหนักไม่น้อยแต่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ท่านหมอตรวจดูร่างกายท่านแล้ว เพียงแค่เป็นไข้หวัดดื่มยาไม่กี่เทียบก็หายเจ้าค่ะ คุณหนูท่านตัวร้อนยิ่งนัก นอนเถิดนะเจ้าคะ”
ซูลี่จูจับใบหน้าตนเอง และสำรวจร่างของอาเจิน ไร้รอยเลือด อาเจินไม่ได้ซูบผอมเหมือนที่ผ่านมา ส่วนนางก็ไม่ได้ผอมจนเหลือแต่กระดูกเพราะไม่มีอาหารดี ๆ ประทังชีวิต นางยังคงมีรูปร่างเช่นเดิมก่อนที่จะหนีไปที่นั่น
แต่นางไม่อยากเชื่อว่านางจะกลับมาจริง ๆ
“ละ...แล้วท่านพ่อท่านแม่ อีกทั้งน้องของข้าเล่าพวกเขาสบายดีหรือไม่ พวกเขาอยู่ที่ใด”
“ทุกคนยังสบายดีที่จวนสกุลซูเจ้าค่ะ”
“ไม่มีผู้ใดตายใช่หรือไม่ ท่านพ่อ ท่านแม่ข้า ยังสบายดีใช่หรือไม่”
“ไม่มีผู้ใดตายเจ้าค่ะ ทุกคนสบายดีเจ้าค่ะ มีเพียงคุณหนูที่ล้มป่วย ดังนั้นนอนเถิดนะเจ้าคะ”
อาเจินอยากจะพูดนักว่าอย่าเอาแต่เอ่ยถึงเรื่องความตาย คำพูดอัปมงคลเช่นนี้ไม่สมควรพูดส่งเดช แต่นางก็ได้แต่หุบปากนิ่ง นางย่อมไม่กล้าออกความคิดเห็นให้คุณหนูไม่พอใจ
ในสมองของซูลี่จูบัดนี้สับสนยิ่งนัก นางหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านโดยละเอียด เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงเสียยิ่งกว่าจริงแต่ไยยามนี้อาเจินจึงยังอยู่ที่นี่คนทุกคนก็ยังอยู่ที่นี่
“อาเจิน เจ้าบอกข้าวันนี้วันที่เท่าไหร่ ช่วงเวลาใด ข้าอายุเท่าไหร่”
อาเจินตอบคำแผ่วเบา
“คุณหนูวันนี้วันที่สาม เดือนสิบเอ็ดเจ้าค่ะ”
“วันที่สามเดือนสิบเอ็ด วันนี้มิใช่ว่าเป็นช่วงเวลาที่ข้าอยากพบหน้าเกาเฟยอวี่เพราะเขาเอาแต่หลบหน้าข้าหรือ ข้าไปตามเขาที่จวน นั่งคุกเข่าจนร่างกายเจ็บป่วยทั้งฝนตกหนักและในที่สุดข้าก็หมดสติ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็ป่วยหนักแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนูกล่าวถูกต้อง นายท่านใจดำนัก คุณหนูคุกเข่าตากฝน ขอให้เขาเห็นใจอยู่หลายชั่วยาม ในที่สุดร่างกายทนไม่ไหวเลยล้มลงไปเช่นนั้น”
เวลานั้นอาเจินยังถูกซูลี่จูตบไปคราหนึ่ง เพราะนางเอาร่มไปให้คุณหนู คุณหนูอยากให้ตัวเองได้รับความสนใจจากนายท่าน จึงไม่ยอมรับความช่วยเหลืออันใดจากนาง แต่สุดท้ายนายท่านก็ไม่โผล่หน้าออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ข้ากลับมาวันนี้สินะ”
ซูลี่จูจ้องใบหน้าของสาวใช้ในความมืดเปลือกตาไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนหุ่นปั้นไม้ตัวหนึ่ง
ซูลี่จูกลืนน้ำลายลงคอ และบัดนี้กลับรู้สึกปวดแสบร้อนที่ลำคอ คล้ายกับว่านางผ่านการถูกบดบี้และถูกรัดมาจนคอแทบขาด
ที่แท้เกิดอะไรขึ้น สวรรค์ให้โอกาสข้าจริงหรือ