บทที่ 7 หญิงปริศนา (1)
ปี ค.ศ. 1600
ทัพของแม่ทัพสวีจางหย่งที่คุมกำลังพลหนึ่งพันนาย เคลื่อนพลกลับมายังเมืองหลวงโดยมุ่งตรงมาที่ประตูทิศเหนือของเมืองเฟิ่งหวงหลังจากที่ไปตรึงกำลังบริเวณชายแดนเป็นเวลากว่าสองเดือน
หลังจากเดินทัพมาได้ครึ่งค่อนวัน ผ่านประตูเมืองทิศเหนือ แม่ทัพสวีจางหย่งก็ได้สั่งให้กองกำลังหยุดพักที่สวนริมกำแพงเมือง เพื่อให้กองเดินเท้าและม้าได้พักชั่วครู่ก่อนจะออกเดินทางต่อ
เมื่อลงจากหลังม้าชายหนุ่มก็ผูกม้าไว้ใกล้ ๆ กับแถวสระบัว ก่อนจะสืบเท้าไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปีริมสระบัว หวังจะเอนหลังไล่ความเมื่อยขบสักเล็กน้อย หลังจากที่เมื่อคืนมีการประลองปิดค่ายเขาที่เป็นแม่ทัพจึงลงร่วมวงกับนายทหารเพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับลูกน้องมากขึ้น
สวีจางหย่งเดินเลี้ยวมาทางด้านโคนต้นไม้ใหญ่ฝั่งสระบัว ก่อนจะชะงักเท้าเมื่อเห็นร่างร่างหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น เขารีบก้าวเท้าเข้าไปดูทันที
เป็นหญิงสาวผิวขาวซีดคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ แม่ทัพหนุ่มจึงใช้มืออังที่จมูกรั้นก็พบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เขาคว้าตัวเธอขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไป
“เซียวเฉิน!”
เสียงทุ้มตะโกนเรียกลูกน้องเสียงดังลั่น เซียวเฉินได้ยินดังนั้นก็ตกใจรีบวิ่งเข้ามาหาแม่ทัพของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผู้หญิงร่างบางใบหน้าซีดเซียวในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะละล่ำละลักถามผู้เป็นนาย
“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่ทัพ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่านางเป็นใคร เจ้าให้คนไปตามหมอมาด้วย ข้าจะกลับจวนก่อน”
“ขอรับ แต่ว่ากองทหารล่ะขอรับ”
“งั้นเจ้าพานางกลับไปที่จวนข้าก่อน ให้หมอมาตรวจนางด้วย แล้วก็อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด เดี๋ยวถ้าจัดการทางนี้เสร็จแล้วข้าจะรีบกลับไป”
สวีจางหย่งกำชับลูกน้องก่อนจะส่งร่างบางในอ้อมแขนที่หน้าตาแทบไม่มีสีเลือดให้อีกฝ่าย เขาไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ร้อนใจนักเมื่อเห็นหญิงสาวคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้คุ้นหน้าคุ้นตาเลยแม้แต่น้อย
เซียวเฉินมุ่งหน้ากลับจวนท่านแม่ทัพสวี จัดการตามที่ผู้เป็นนายสั่งไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
สวีจางหย่งเดินสำรวจบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ที่พบร่างของหวงเจียวเหม่ย เพื่อสำรวจสิ่งผิดปกติก็ไม่พบอะไร จากการสำรวจร่างกายคร่าว ๆ ของหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่พบบาดแผลอะไร หากบอกว่าโดนทำร้ายมาคงไม่ใช่
และเมื่อสังเกต การแต่งกายกับผิวพรรณของนางแล้ว ไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เธอใส่ก็ดูดีเกินกว่าจะเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา หากจะบอกว่าเป็นคุณหนูมาจากตระกูลใดเขาก็เชื่อได้ไม่ยาก
“ท่านแม่ทัพ ได้เวลาแล้วขอรับ”
หยางซีฮัน เดินเข้ามาหาแม่ทัพที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของเขาก็ว่าได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินวนรอบต้นไม้ใหญ่เกือบสิบรอบเห็นจะได้ เหมือนกำลังตามหาอะไรอยู่
“อืม ไปเถอะ”
สวีจางหย่งก้าวเท้าตรงไปที่ม้าของตนอย่างตัดใจ เมื่อไม่พบร่องรอยอะไรเลยที่โคนต้นไม้ ก่อนจะควบม้านำขบวนทหารกลับไป
หยางซีฮันสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของผู้ที่เป็นทั้งนายทั้งเพื่อนสนิทของตนมาตลอดตั้งแต่ออกมาจากจุดพักริมสระบัว ก่อนจะอดทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้จึงถามอีกฝ่ายออกไปหลังจากที่ปล่อยแถวของทหารเรียบร้อยแล้ว
สวีจางหย่งรีบร้อนก้าวเท้าไปหาม้าของตน ด้วยตอนนี้เขาอยากกลับไปที่บ้าน ก่อนจะชะงักไปเมื่อโดนหยางซีฮันผู้ที่เป็นทั้งรองแม่ทัพและเพื่อนสนิทเข้ามาขวางทางของเขาเอาไว้
“ท่านจะรีบไปที่ใดรึ ปกติท่านแม่ทัพมักจะเขียนรายงานให้เสร็จก่อนไม่ใช่หรือขอรับ”
แววตาที่มีแต่ความขี้เล่นของหยางซีฮัน มองสำรวจไปที่ใบหน้าแสนเย็นชาของคนตรงหน้า แต่ก็พบเพียงแต่ความนิ่งเฉยที่เห็นจนชินตา
“ข้ามีธุระต้องไปทำ”
เจ้าของใบหน้าเรียบเฉย เย็นชา ก้าวขึ้นควบม้า ก่อนจะตรงกลับบ้านอย่างรวดเร็ว โดยมีเซียวลู่ติดตามผู้เป็นนายไปไม่ห่าง