พรหมลิขิต
"ท่านขุนเจ้าคะ ภพชาตินี้ไอ้ฟักมันตามไอ้จ้อนมาอีกแล้วเจ้าค่ะ ..."อุ่นพูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่ร้อนรน
"ท่านขุนจักทำเยี่ยงไรเจ้าคะ ไอ้ฟักมันเป็นคู่กับไอ้จ้อนมาหลายภพหลายชาติแล้วหนาเจ้าคะ ..."ชบาถามขุนทัตเทพด้วยนํ้าเสียงที่ร้อนใจไม่ต่างกับอุ่น
"มิใช่กูที่จักต้องทำ มึงสองตนต่างหาก ที่จักต้องเป็นผู้จัดการมัน กูรอให้ไอ้จ้อนเกิดมาเป็นชายหลายภพชาติแล้ว กูจักมิรออีกต่อไป ..."ขุนทัตเทพมองบ่าวทั้งสองตนนิ่ง หลายภพชาติที่จ้อนเกิดมาเป็นหญิงแล้วคู่กับฟัก จนมาถึงชาตินี้ จ้อนถึงได้เกิดมาเป็นชาย เขาจะยอมให้จ้อนได้สมหวังกับฟักอีกไม่ได้
"ท่านขุนจักให้บ่าวกระทำการสิ่งใดฤาเจ้าคะ บ่าวพร้อมจักทำตามที่ท่านขุนสั่งเจ้าค่ะ ..."อุ่นถามขุนทัตเทพอย่างเอาใจ
"ใช่เจ้าค่ะ บ่าวทั้งสองจักรีบไปกระทำการตามที่ท่านขุนสั่งเลยเจ้าค่ะ ..."ชบาเองก็ไม่ยอมแพ้ เธอรีบถามเอาใจขุนทัตเทพ ไม่แพ้กับอุ่นสหายของเธอ
"อีอุ่น...มึงไปจัดการไอ้ฟัก อย่าให้มันได้มีชีวิตในภพชาตินี้อีก ส่วนมึง...อีชบา มึงไปเฝ้าไอ้จ้อนไว้ อย่าให้มันได้มีมลทินใดๆมาแปะเปื้อนตัวมันเป็นอันขาด ภพชาตินี้ กูจักมิให้ผิดพลาดอีก กูรอไอ้จ้อนมาหลายร้อยปีแล้ว ไอ้จ้อนจักต้องเป็นของกูแต่เพียงผู้เดียว ..."ขุนทัตเทพสั่งบ่าวข้างกายขึ้นเสียงเข้ม
"เจ้าค่ะ...ท่านขุน ..."อุ่นกับชบาก้มหน้ารับคำสั่งพร้อมกัน ก่อนที่ร่างของทั้งสองตน จะหายไปทำตามคำสั่งของขุนทัตเทพ
"ไอ้ฟัก...มึงจักมิสมหวังในภพชาตินี้ ..."ขุนทัตเทพพึมพำคนเดียว หลังจากที่อุ่นกับชบาไปทำตามที่เขาสั่งแล้ว
.......
"ผมอาบนํ้าก่อนนะ หรือว่าคุณจะอาบก่อน ลืมแนะนำตัวเองไปเลย ผมเจษนะ ..."เจษแนะนำตัวเอง หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้ว เขาเจอศรัณย์นอนเล่นเกมส์ในมือถืออยู่
"กูอาบนํ้าแล้ว ..."ศรัณย์พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสายตาของเขาสนใจอยู่กับเกมส์ที่เขากำลังเล่นอยู่
"ครับ ..."เจษไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องนํ้าไป
พรึ่บ....
"ไอ้ฟัก...ภพชาตินี้มึงงามยิ่งนัก แต่เสียดายที่มึงจักมิได้อยู่ในโลกนี้ ตามอายุขัยของมึง ..."อุ่นปรากฏตัวในห้องพักของศรัณย์กับเจษ เธอพูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ๆเตียงนอนของศรัณย์ ในขณะที่ศรัณย์กำลังนอนเล่นเกมส์อยู่ เธอเอื้อมมือหมายจะบีบคอของศรัณย์
กรี๊ดด...ด กรี๊ดด...ด
"หือ...อ เสียงใครมาร้องแถวนี้วะ ..."ศรัณย์หันไปมองหาที่มาของเสียง ก่อนที่เขาจะเลิกสนใจ แล้วกลับมาเล่นเกมส์ต่อ
.......
"ร้อน...ร้อน ไยถึงร้อนเยี่ยงนี้ ท่านขุน...ท่านขุนเจ้าขา บ่าวร้อนไปทั่วทั้งตัวแล้วเจ้าค่ะ ..."อุ่นพูดขึ้น ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อยๆปรากฏให้นายของเธอเห็นร่างของเธอ ที่กำลังไหม้เกรียมอยู่
"อีอุ่น...มึงเข้ามาใกล้ๆกูสิ ..."ขุนทัตเทพสั่งขึ้นเสียงนิ่งดุ
"เจ้าค่ะ...ท่านขุน บ่าวร้อนเหลือเกินแล้วเจ้าค่ะ ..."อุ่นพยักหน้ารับคำ ก่อนที่เธอจะคลานเข่าเข้าไปใกล้ๆขุนทัตเทพ
"วิชชาจะระณะสัมปันโน ปัญจะมังสิระสังขาตัง ฟู๊ว..ว ..."ขุนทัตเทพเอื้อมมือไปจับที่หัวของอุ่น ก่อนที่เขาจะเป่าที่หัวของอุ่นเบาๆ หลังจากที่เขาท่องคาถาจบไปสามจบแล้ว
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ...ท่านขุน ..."อุ่นก้มลงไปกราบแนบเท้าของขุนทัตเทพ ด้วยความรู้สึกที่ขอบคุณ และจงรักภักดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ หลังจากที่เธอหายจากอาการปวดแสบปวดร้อนแล้ว
"มันมีของดีคุ้มครองอย่างนั้นรึ อีชบา...มึงไปที่ใด จงกลับมาหากูบัดเดี๋ยวนี้ ..."ขุนทัตเทพเรียกหาชบาเสียงดัง พร้อมกับมองหาไปด้วย
"บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ...ท่านขุน ..."ชบาปรากฏตัวในท่านั่งหมอบตรงพื้นด้านหน้าของขุนทัตเทพ
"มึงตามไอ้ฟักไปที่เรือนของมัน มึงอย่าได้เข้าไปใกล้ตัวของมันเป็นอันขาด มิเช่นนั้นวิญญาณของมึงจะดับสลายไป ..."ขุนทัตเทพบอกชบาด้วยนํ้าเสียงที่เข้มดุ
"เจ้าค่ะท่านขุน บ่าวจักตามมันไปบัดเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ..."ชบาพยักหน้ารับคำ ก่อนที่ร่างของเธอจะหายไปในพริบตา
........
แกร๊ก
"อ้าว...คุณศรัณย์ยังไม่ไปเรียนอีกเหรอครับ ..."เจษถามขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่ตกใจเล็กน้อย เพราะว่าเขาเปิดประตูห้องนํ้าออกมา ศรัณย์ยังนอนเล่นเกมส์อยู่บนเตียงที่เดิม เขาเดินออกมาจากห้องนํ้าด้วยกางเกงบ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว
"เรื่องของกู แล้วมึงจะมาคุณมาผมอะไรของมึง พูดกับกูธรรมดาก็ได้ ..."ศรัณย์บอกเจษ โดยที่เขาเหลือบหางตาไปมองเจษแค่แว็บเดียว แล้วหันกลับมาเล่นเกมส์ต่อ
"อือ งั้นกูไม่เกรงใจแล้วนะ ..."เจษพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะนึกขึ้นได้ว่า ถ้าจิกับบอยรู้ ว่าใครคือรูมเมทของเขา เขาไม่อยากจะคิดเลย ว่าความวุ่นวายจะเกิดขึ้นแค่ไหน
พรึ่บ...บ
"มึงสองคนจักคู่กันอีกมิได้ ไอ้จ้อนจักต้องเป็นของท่านขุนแต่เพียงผู้เดียว ฮ่าๆ ..."ชบาพูดขึ้น ในขณะที่เธอมานั่งเฝ้าฟักอยู่ที่ขอบหน้าต่าง
"ซู๊ด...ด มึงได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไรไหม ซู๊ดๆ ..."ศรัณย์ถามพร้อมกับลุกขึ้นนั่งตัวตรง เมื่อเข้าได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากทางหน้าต่าง
"ซู๊ดๆ ไม่นะ...กูไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย แล้วกลิ่นมันมาจากทางไหนอ่ะ ..."เจษถามด้วยความสนใจ เขาพยายามดมกลิ่นแล้ว แต่เขาไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
"มีของดีคุ้มครองไม่พอ มึงยังมองเห็นกูได้ด้วยฤา...ไอ้ฟัก ..."ชบาพึมพำอยู่ตนเดียวบนขอบหน้าต่าง เธอรู้ว่าฟักสามารถมองเห็นเธอได้ ถ้าฟักอยากจะเห็นและยอมเปิดเนตรที่สาม
"มึงรีบแต่งตัวแล้วลงไปหาเพื่อนมึงเถอะ เดี๋ยวกูก็จะไปเหมือนกัน ..."ศรัณย์บอกเจษเสียงเข้ม ก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบเอาเป้ของเขา ที่วางอยู่บนโต๊ะส่วนตัวของเขา ที่อยู่ใกล้กับริมหน้าต่าง
กรี๊ด...ด
"ร้อน...!! ไยมันร้อนถึงเพียงนี้ ..."ชบาพูดขึ้น ทั้งที่เธอหนีทันที ที่ฟักเดินมาใกล้ขอบหน้าต่างที่เธอนั่งอยู่ แต่เธอก็ยังร้อนอยู่ดี
"มึงไปก่อนเลย ยังไม่ถึงเวลาที่กูนัดกับเพื่อนเอาไว้ ..."เจษพูดพร้อมกับแต่งตัวไปด้วย อย่างไม่ได้ใส่ใจที่ศรัณย์พูดนัก
"กูบอกให้มึงรีบออกไป มึงก็รีบออกไปเถอะ มึงอย่าดื้อ ..."ศรัณย์บอกเจษด้วยนํ้าเสียงที่ดุเล็กน้อย
"ดื้ออะไรของมึง...? แล้วกูกับมึงเกี่ยวอะไรกัน แล้วกูก็ไม่ใช่เด็กด้วย ..."เจษมองหน้าของศรัณย์แล้วถามด้วยความสงสัย เพราะว่าอยู่ดีๆ ศรัณย์ก็มาพูดกับเขา เหมือนสั่งเขายังไงก็ไม่รู้ แถมยังใช้นํ้าเสียงเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กอย่างนั้นแหละ
"งั้นก็ตามใจมึงเถอะ ..."ศรัณย์พูดขึ้นอย่างไม่สนใจ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องแล้วเดินออกไปทันที โดยที่ไม่หันกลับไปมองที่ห้องอีก
ปัง...ง
"อะไรของมันวะ ..."เจษมองตามหลังของศรัณย์ไปอย่างไม่เข้าใจ
"ไอ้จ้อน...มึงอย่าดื้อนะ เป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวกูจะตามไอ้ฟักไปเอง ฮ่าๆ ..."ชบายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆกับใบหน้าของเจษ ก่อนที่ร่างของเธอจะหายไป
"อื้อ...กลิ่นเหม็นเน่าอะไรวะเนี่ย เหม็นอย่างที่ศรัณย์มันพูดจริงๆด้วย อะไรมาตายในห้องวะเนี่ย ไปดีกว่ากลิ่นในห้องไม่ดีเลย ..."เจษมองหาที่มาของกลิ่นพร้อมกับบีบจมูกไปด้วย ก่อนที่เขาจะหยิบเอาเป้แล้วรีบเดินออกจากห้องไป
.......
"ห๊ะ...อะไรนะเจษ มึงพูดใหม่อีกรอบสิ ..."จิหน้าตาตื่น เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เจษพูดเลย
"ไม่อ่ะ กูขี้เกียจพูดแล้ว แล้วมึงจะขยันตกใจอะไรนักหนาจิ เล่นใหญ่เว่อร์ ..."เจษส่ายหน้าอย่างรำคาญ เพราะจิให้เขาพูดเรื่องที่ศรัณย์เป็นรูมเมทของเขาหลายรอบแล้ว
"เป็นไปได้ยังไงวะ ..."บอยพึมพำเบาๆอยู่อย่างนั้น อย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อกับสิ่งที่เจษพูดนัก
"พรหมลิขิตชัดๆเลยอ่ะ..."จิพูดเหมือนกับคนที่กำลังละเมออยู่
"พรหมลิขิตอะไรของมึงจิ ..."ขันทองขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
"ก็กูกับคุณศรัณย์ไง จู่ๆก็ได้เจอกัน จู่ๆก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้วอ่ะ กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ..."จิพูดขึ้นเหมือนละเมอ
"ไปกันใหญ่แล้วจิ เขาเป็นรูมเมทไอ้เจษมัน แล้วเขาจะไป...จู่ๆก็จะอยู่กับมึงได้ไง จู่ๆอะไรของมึงเนี่ย โห๊ะ...ไปหมดแล้วสมงสมอง ..."ณิชาพูดพร้อมกับนวดขมับให้จิไปด้วย
"ก็นี่ไง กูจะขอไปอยู่แทนไอ้เจษมัน แล้วให้ไอ้เจษไปอยู่ที่คอนโดของกูแทนไง สลับกันนะเจษ ..."จิหันไปสบตากับเจษแล้วทำตาปริบๆอย่างออดอ้อน หลังจากที่เขาบอกจุดประสงค์ของเขากับเพื่อนๆไปแล้ว
"เป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอเพื่อน มึงจะโอนคอนโดของมึงให้ไอ้เจษด้วยเลยไหมล่ะ ฮ่าๆ..."บอยถามจิขึ้นขำๆ
"โอนให้เลย โอ้ย...ไม่ใช่ ก็แค่เปลี่ยนที่นอนกันบ้างในบางครั้งแค่นั้นเอง นะเจษนะ...โอเคป่ะ ..."จิมองเจษด้วยสายตาที่ออดอ้อน
"ไร้สาระ แต่ถ้ามึงจะไปทำความสะอาดห้องให้กู กูให้มึงเข้าห้องกูก็ได้นะจิ ตอนนี้ห้องกูไม่รู้ว่ามีตัวอะไรตายอยู่ เหม็นเน่าฉิบหาย ทีแรกกูก็ไม่ได้กลิ่นหรอก ตอนที่ศรัณย์มันบอก แต่พอมันออกจากห้องไปแล้ว กลิ่นเหม็นเน่ามาเลย ไปไหมล่ะจิ ไปช่วยกูทำความสะอาดห้อง ฮ่าๆ ..."เจษพูดขึ้นขำๆ
"พวกมึงไม่แปลกใจหน่อยเหรอวะ รวยๆอย่างคุณศรัณย์ ทำไมไปอยู่หอ ..."ขันทองมองหน้าของเพื่อนๆแล้วถามด้วยนํ้าเสียงที่จริงจัง
"ก็กูบอกแล้วไง พรหมลิขิตชักพา อะไรก็เกิดขึ้นได้ ..."จิพูดขึ้นอย่างมั่นใจในตัวเอง
"อย่าพูดเป็นเล่นไรไปจิ กูจริงจัง ..."ขันทองว่าให้จิเสียงดุ
"กูว่าไม่น่าแปลกนะ คนรวยๆชอบทำอะไรแปลกๆอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เขาอาจจะเบื่อความหรูหรา แล้วมาอยู่อย่างธรรมดาบ้างก็ได้ ..."เจษพูดขึ้น
"ตั้งแต่พวกเรามาเรียนที่นี่ มีสองเรื่องแล้วนะ ที่เรายังหาเหตุผลกันไม่ได้อ่ะ ..."ณิชาพูดพร้อมกับมองหน้าของเพื่อนๆไปด้วย
"จริงด้วย เรื่องทุนของไอ้เจษมัน แล้วก็รูมเมทของมัน ..."ขันทองพูดขึ้นอย่างเห็นด้วยกับณิชา
"ถ้ามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ มันก็ปกตินะ เราก็แค่ถามเหตุผลกับศรัณย์ก็จบแล้ว ส่วนเรื่องทุน เราก็แค่เข้าไปกราบขอบคุณหม่อมหลวงอะไรนั้น แล้วก็ถามเหตุผลก็จบแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้นะ ..."บอยแย้งขึ้น
"ก็จริงนะ ถ้าศรัณย์ยอมบอก และกูกล้าเข้าไปกราบขอบคุณหม่อมหลวงทัตเทพแล้วถามหาเหตุผล พวกมึงจะกล้าถามเหรอ กูว่าไม่ใช่เรื่องนะ ..."เจษให้เหตุผลกับเพื่อน พร้อมกับทำท่าคิดหนักไปด้วย
"กูว่าพวกเราหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ก่อนไหม เราไปซื้อของที่จะไปเข้าค่ายกันเถอะ ..."บอยชวนเพื่อนๆด้วยนํ้าเสียงที่สดใสขึ้นทันที ที่เขากับเพื่อนๆจะได้ไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า
"กูยังไม่จบนะบอย มึงตกลงว่าไงล่ะเจษ กูเอาจริงนะเจษ...ษ ..."จิถามเจษด้วยนํ้าเสียงที่ออดอ้อน
"มึงจะบ้าเหรอจิ จู่ๆมึงจะเปลี่ยนไปนอนแทนไอ้เจษมัน คุณศรัณย์เขาได้ช็อคตายกันพอดี ฮ่าๆ ..."ณิชาพูดขึ้นขำๆ
"เจษ...มึงแนะนำให้กูรู้จักกับคุณศรัณย์หน่อยสิ ..."จิกอดแขนเจษอย่างออดอ้อน
"กูกับเขาเป็นแค่รูมเมทกันนะจิ เพื่อนก็ยังไม่ได้เป็นเลย กูว่ามึงรอให้กูได้คุยกับเขามากกว่านี้หน่อยไหม ใจเย็นๆสิ ..."เจษพูดพร้อมกับลูบหัวของจิที่กำลังซบไหล่ของเขาอยู่
"มึงกล้าซบไหล่ไอ้จ้อนของท่านขุนรึ นี่แน่ะ ..."อุ่นที่ยืนเฝ้าจ้อนอยู่ไม่ห่าง เธอกระชากผมของจิอย่างแรง
พรึ่บ...บ
"โอ้ย...ย อีบอย...!! มึงจะดึงผมกูทำไมเนี่ย เจ็บนะเว้ย...ย ดึงซะแรงเลย ..."จิร้องโวยวายเสียงดัง เพราะว่าผมของเขาถูกกระชากอย่างแรงจนเขาแทบจะหงายเงิบตกเก้าอี้ไปทางด้านหลัง
"อะไรของมึงอีจิ กูไปดึงผมของมึงตอนไหน มือกูก็ถือแก้วชาไข่มุกอยู่นี่ไง ..."บอยมองจิด้วยความงง เพราะเขาก็เห็นทางหางตาเหมือนกัน ว่าจิจะหงายเงิบไปทางด้านหลัง เขาคิดว่าจิแกล้งทำ แต่พอจิโวยวายแล้วยังว่าเขาด้วยท่าทางที่จริงจังอีก ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าจิแกล้งทำหรือว่าจิด่าเขาจริงๆ
"มึงเล่นใหญ่ไปนะจิ แค่หาเรื่องหลอกด่าไอ้บอย มึงไม่ต้องเล่นใหญ่เบอร์นี้ก็ได้ ..."ขันทองส่ายหน้าให้กับความไร้สาระของเพื่อน เพราะว่าเขาก็เห็นว่าจิจะหงายหลังตกจากเก้าอี้ไป เขาคิดว่าจิเล่นใหญ่ไป
"เล่นใหญ่บ้าอะไร ผมของกูโดนกระชากจริงๆ ..."จิเถียงขันทองด้วยนํ้าเสียงที่จริงจัง ไม่ได้จริงจังแค่นํ้าเสียง หน้าตาของเขาก็จริงจังไปด้วย
"พอๆเลิกเถียงกัน ไปซื้อของเข้าค่ายกันเถอะ ..."เจษพูดขัดขึ้น ก่อนที่เพื่อนๆจะทะเลาะกันไปมากกว่านี้ เพราะว่าท่าทางของจิเอาจริงเอาจังมากๆ
"กูไม่ได้แกล้งนะเว้ย มีคนดึงผมกูจริงๆ ..."จิพยายามที่จะบอกเพื่อนๆ แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลย ทุกคนคิดว่าเขาแกล้งทำเพื่อหลอกด่าบอยเหมือนอย่างที่ผ่านมา