บทที่ 3
“นั่นเป็นเพราะเราสองมาจากคนละยุคสมัยนี่นา ตอนนั้นข้ามีความเขลาอยู่มาก ทั้งยังขลาดกลัวไม่มีความกล้ามากพอที่จะต่อกรกับคนพวกนั้น โดนตระกูลสุ่ยสวมเขาให้ตั้งนานข้ากลับไม่รู้ตัวแม้แต่นิด”
คนพูดหน้าหมองลงเมื่อได้พูดถึงอดีตอันแสนเจ็บช้ำน้ำใจอีกครา ผิดกับเลี่ยงซูที่ตอนนี้ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวาววับหลังจากได้ยินคำว่าตระกูลสุ่ยออกมาจากปากของฮุ่ยเจียง โลกช่างกลมเสียจริง
“เดี๋ยวนะ ฉันได้ยินไม่ผิดไปใช่ไหม เมื่อกี้เธอบอกว่าตระกูลสุ่ยงั้นเหรอ”
“ใช่ คนที่วางยาฆ่าข้าในคืนแต่งงาน ก็คือตระกูลสุ่ยครอบครัวของสามีข้าเอง”
“บัดซบเอ้ย เลวยันโคตร”
เลี่ยงซูสบถไม่สมเป็นหญิง พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอด ๆ ด้วยความคับแค้นใจ ความโกรธมากมายปะทุขึ้นมาในอกอีกระลอก
หมายความว่าการตายของเธอกับฮุ่ยเจียงนั้นล้วนมีสาเหตุมาจากความโลภและความเลวของตระกูลสุ่ยด้วยกันทั้งคู่
“มีอะไรหรือเปล่าเลี่ยงซู เจ้าเล่าให้ข้าฟังบ้างได้ไหม”
เมื่อเห็นว่าเลี่ยงซูแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างที่ฮุ่ยเจียงไม่เคยเห็นมาก่อนดวงวิญญาณหญิงสาวจากยุคจีนโบราณก็พลันเอะใจขึ้นมา หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้นระคนตกใจ
ดวงวิญญาณของเลี่ยงซูตัดสินใจเปิดปากเล่าเรื่องการตายอย่างอยุติธรรมของตัวเองให้ดวงวิญญาณของหยางฮุ่ยเจียงเพื่อนสาวที่มาจากคนละยุคฟังบ้าง ว่าตัวเธอนั้นต้องตายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาก็เพราะตระกูลสุ่ยเช่นเดียวกัน
“ได้ฟังแบบนี้แล้วข้าเห็นด้วยกับเจ้าเลยคนพวกนั้นเลวยันโคตรจริง ๆ ว่าแต่เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าจะเป็นตระกูลสุ่ยเดียวกัน”
“แน่ใจสิ ในยุคฉันน่ะถือได้ว่าตระกูลสุ่ยเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ ที่ร่ำรวยมั่งคั่งมาตั้งแต่บรรพบุรุษ”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นพวกเดียวกันไม่ผิดตัวแน่นอน เลวจริง ๆ ที่พวกนั้นร่ำรวยได้ก็คงเป็นเพราะสินเดิมของข้าแล้วก็สมบัติของตระกูลหยางด้วยเป็นแน่ หึ”
ดวงวิญญาณของหญิงสาวทั้งสองคนนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กร่นด่าตระกูลสุ่ย ความโกรธลอยฟุ้งทั่วบริเวณ จนใบไม้ที่ต้องลมเมื่อครู่ถึงกับนิ่งสนิทไม่ไหวติง
ความเจ็บแค้นของพวกเธอที่มีต่อตระกูลสุ่ยยิ่งแน่นเต็มอกทวีคูณ เมื่อพวกเธอรู้ความจริงที่ว่าต่างก็ต้องมาตายเพราะความโลภของคนตระกูลนี้ด้วยกันทั้งคู่