4.หนีเสือปะจระเข้
เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้ว ซูเหยาก็พาตนเองไปที่ห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ติดกัน ช่างน่าเวทนายิ่งนักเมื่อมองลงไปในถังน้ำ มันมีอยู่ติดก้นไม่ถึงคืบของมือนางเลยด้วยซ้ำ
หลินคุนเจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว
ความรักที่เคยมี มันกลับกลายเป็นความเกลียดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จะให้นางยอมรับในชะตากรรมน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก ถึงแม้ก่อนนั้นจะร้องไห้ฟูมฟายก็เถอะ
ซูเหยารีบจัดการชำระล้างร่างกายและใบหน้าอย่างรีบร้อน เพื่อเตรียมตัวออกจากจวนนี้ นางต้องกลับไปจัดการงานศพของคนสกุลหาน และสืบหาสาเหตุของเพลิงไหม้ด้วยตนเอง
นางเชื่อว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสะเพร่า ต่อให้บิดาและพี่ชายเมา ทว่ามารดาไม่มีทางหลับสนิทจนไม่รู้เรื่องอันใดแน่
“อดทนหน่อยนะร่างกาย เจ้าเคยผ่านเรื่องร้ายมามากมาย พบพานอีกสักสองสามเรื่องจะเป็นไรไป ถือว่าเป็นบททดสอบชีวิตแล้วกัน” ปลอบตนเอง พร้อมกับแต่งกายใหม่ด้วยอาภรณ์สีซีดที่อยู่ในหีบนั่นแหละ เพราะนางไม่ได้เอาเสื้อผ้าของตนติดมาเลย คนหลอกลวงบอกว่าเขาเตรียมไว้ให้หมดแล้ว
เมื่อเรียบร้อยนางก็ออกมาจากห้อง ดวงตาสวยสอดส่องไปทั่วสวน แน่นอนว่าหลินคุนคงไม่ได้สั่งให้คนเฝ้านางไว้แน่ เพราะคิดว่าซูเหยาอาจจะทุกข์และยังอยู่ในห้อง ไม่มีทางออกมาแบกรับความอับอายกับเรื่องที่นางได้แต่งเข้ามาป็นเพียงอนุหรอก
ซูเหยาเดินหลบคนงานที่จัดแต่งสวน ตรงไปยังประตูหลัง ซึ่งกว่าจะหาพบก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน ยังดีที่คนที่นี่ไม่รู้จักหน้าค่าตานางเลย แค่บอกว่าเป็นสาวใช้ที่พึ่งมาใหม่ก็เชื่อกันหมด ก็ชุดที่นางใส่มันต่างจากสาวใช้ในเรือนเสียที่ไหน ดูเก่ากว่าเสียอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจเป็นอย่างมาก
นางเดินลัดเลาะออกมาจากตรอก ตรงไปยังถนนเส้นใหญ่ซึ่งไม่รู้เลยว่าทางออกนอกเมืองต้องไปทางไหน
“ทำไงดี สมัยนี้ต้องเดินทางด้วยม้าและลาเท่านั้น เงินติดตัวก็ไม่มีสักอีแปะ แล้วตำบลซินไห่ไปทางไหนกันนะ” สองเท้าหยุดลงท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองหลวง ซึ่งมีผู้คนมากหน้าเดินสวนกันไปมาตลอดทาง และยังมองนางเหมือนกับขอทานด้วย
มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะอาภรณ์ที่สวมอยู่ซีดเก่าถึงเพียงนี้ ใบหน้าหรือก็ยังมีรอยบวมแดงที่ขอบตาอีก ปากก็ซีดเผือดเพราะพิษไข้ที่มีอยู่ แม้จะกินยาเข้าไปแล้วก็เถอะ ทว่าร่างกายนางอ่อนแอมาก มาโดนแดดโดนลมอีก ไม่ล้มก็บุญแค่ไหนแล้ว
“อย่าเกะกะขวางทาง” เสียงหนึ่งดังขึ้น เพราะซูเหยายืนอยู่กลางถนน นางไม่รู้ว่าควรต้องไปทางไหนต่อ
ก่อนนี้จะอ้าปากถามทาง ก็ถูกเขาไล่ตะเพิดราวกับเป็นตัวเชื้อโรคก็ไม่ปาน จึงทำให้ต้องยืนเคว้งอยู่เช่นนี้
“ขะ…ขออภัยเจ้าค่ะ” รีบขยับออกมายืนริมทาง มองดูรถม้าที่ถูกแกะสลักอย่างปราณีตเคลื่อนผ่านหน้าไป
“ใครกัน? ทำไมดูยิ่งใหญ่จัง” พึมพำออกมา มองตามขบวนที่กำลังมุ่งหน้าไปทิศตะวันออก และนางก็ฉุกคิดบางอย่างได้
“จริงสิ พี่ใหญ่เคยบอกว่าตำบลของเราอยู่ทิศตะวันออกของเมืองหลวงนี่ เช่นนั้นถ้าเราไปทางนี้ก็น่าจะตรงไปยังตำบลซินไห่ได้” นึกได้เช่นนั้นนางก็รีบเดินไปตามทิศทางที่เอ่ยถึง
ร่างเล็กหยุดลงที่หน้าประตูเมือง ซึ่งมันสูงและใหญ่มาก
“ประตูเมืองหลวงของจริงงั้นเหรอ มาอยู่ที่นี่เกือบสามปีพึ่งจะเคยเห็น งั้นด้านหลังเราก็เป็นพระราชวังฉางอันน่ะสิ” คิดได้แบบนั้นก็กลับหลังหันไปมองทันที ทว่าไกลเพียงนี้จะมองเห็นได้เยี่ยงไร ต้องขึ้นไปบนกำแพงถึงจะสามารถเห็นพระราชวังได้
ทว่ายามนี้มันไม่ใช่เวลา นางต้องกลับตำบลก่อน
แต่ภาพเบื้องหน้ามันทำให้ใจดวงน้อยเต้นรัว เพราะตนไม่มีหนังสือผ่านทาง แล้วจะผ่านออกไปได้เยี่ยงไร การตรวจค้นก็ดูเข้มงวดนัก ไม่รู้ว่ามีเหตุอันใดกันแน่
พลันสายตาก็หันไปเห็นรถม้าคันเดิม ซึ่งมันจอดอยู่ที่ข้างกำแพง ดูท่าเจ้าของคงจะขึ้นไปด้านบนกระมัง
“บนนั้นอาจมีของล้ำค่า เอามาติดสินบนกับทหารคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อ๊ะ…แล้วถ้าถูกจับได้ล่ะ” ความคิดในหัวเริ่มตีกันยุ่งเหยิง คนจากยุคปัจจุบันไม่เคยต้องมานั่งคิดเอาตัวรอดกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน และมันยังอยู่ในยุคโบราณไร้ความเจริญอีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ สมองตอนนี้ก็เบลอมากด้วย
“ได้ยินว่านายท่านลงมาแล้วจะออกนอกเมือง เจ้ารีบไปเตรียมของกินมาไว้เถอะ จะได้ไม่เสียเวลาด้วย นายท่านลงมาจะได้ออกไปเลย” เสียงใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเอ่ยกับสหาย มันดังพอให้คนที่กำลังหันหลังเพื่อหามุมหลบได้ยิน
ริมฝีปากอิ่มยกยิ้ม ก่อนจะเดินย่องไปยังรถม้า
“ขอติดออกไปด้วยคงไม่เป็นไรกระมัง” กล่าวในขณะที่ปีนเข้าหน้าต่างทางด้านหลัง เพราะไม่มีคนอยู่ทางนี้ บุรุษร่างสูงเฝ้าแต่ด้านหน้าและทางขึ้นกำแพงกันหมด
ซูเหยามองหาที่หลบ พอดีแท่นสำหรับนั่งนั้นมีช่องเก็บของอยู่ พอดันมันจนสุด สตรีตัวเล็กเช่นนางก็มุดเข้าไปนอนเหยียดได้สบาย เป็นที่หลบได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ ข้ากำลังจะไปหาพวกท่านแล้ว” เอ่ยออกมาแผ่วเบา ก่อนจะกินยาเพื่อให้ไข้ลดลง และนอนรอรถม้านี้เคลื่อนตัวออกไปจากเมืองหลวง มันนานพอที่จะทำให้คนอ่อนเพลียหลับไปทั้งอย่างนั้น จนไม่รู้ว่ายามนี้ตนอยู่ที่ใดแล้ว
พอตื่นมาก็รู้สึกหิว เพราะได้กลิ่นของขนมกุ้ยฮวาที่นางชอบกิน ดวงตาสวยมองออกมาจากช่องขนาดเล็ก จึงได้เห็นว่าที่นั่งตรงกลางมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ ดูเหมือนเขากำลังหลับกระมัง เพราะนั่งเอียงพิงแท่นวางแขน ใบหน้าก็เห็นไม่ชัดนัก
ช่องบานเลื่อนถูกดันขยับออกแผ่วเบา พร้อมกับมือขาวที่ยื่นมาเพื่อหยิบขนมที่วางอยู่ในจาน ก็คนมันหิวไม่ได้กินสิ่งใดมาตั้งแต่เมื่อวาน จะทนต่อไปได้เยี่ยงไรกัน
“อ๊ะ!...ปล่อยนะ” ร้องเสียงหลง เมื่อข้อมือนางถูกจับและออกแรงบีบอย่างแรง ก่อนที่เท้าใหญ่จะถีบดันบานเลื่อนจนสุดมุม แค่แรงน้อยนิดเขาก็ดึงร่างนางออกมาจากช่องนั้นได้แล้ว
แขนแทบจะหลุดติดมือมาด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดปรานีเลย เขายังออกแรงดันร่างนางจนเซล้มอีก
“ฮึก!...เจ็บนะ” ตวาดเสียงลั่นรถ ทำให้มันหยุดลงทันที
“นายท่าน” คนสนิทรีบเอ่ยถาม
“ไปต่อ” ตอบกลับเสียงเรียบ นัยน์ตาคมดุก็ยังจ้องผู้บุกรุก ที่บังอาจแอบขึ้นรถม้าเขาทั้งที่มิเคยมีใครได้นั่งมาก่อน มิหนำซ้ำเขายังจับสังเกตไม่ได้อีก จนกระทั่งนางเผยตัวนี่แหละ
“เจ้าเป็นใคร ขึ้นมาอยู่บนรถม้าข้าได้เยี่ยงไร คงอยากตายมากสินะ” น้ำเสียงเขาไม่ได้เป็นมิตรเลยสักนิด ท่าทางก็ดุดันจนน่ากลัว ดีก็แค่หน้าตาที่หล่อเหลาเท่านั้น
“ข้าก็อยากตายนะ แต่ยังตายไม่ได้” ตอบเสียงเครือ พลันน้ำตาก็ไหลลงมาเมื่อนึกถึงคนที่จากไป และชีวิตตนที่แสนอนาถเหลือเกินตั้งแต่วันแต่งงาน นางจะรอดจากเงื้อมมือคนตรงหน้าได้หรือเปล่า ดูเหมือนเขาจะโกรธมากด้วย
“หึ! แต่ข้าจะให้เจ้าตายวันนี้” เสียงเย็นดังขึ้นมาจนซูเหยาถึงกับใจหายวาบ ตัวชาอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน หากถูกเขาฆ่าหมกป่าจะทำเยี่ยงไร เป็นเพราะความหิวโดยแท้ที่ทำให้อายุสั้น
“นายท่านอย่าเลยนะเจ้าคะ โปรดละเว้นชีวิตน้อย ๆ นี่เถอะ ปล่อยข้าลงตรงนี้ก็ได้ ข้ายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอีก ได้โปรด” ร้องขอพร้อมกับหมอบลงพื้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายชักมีดสั้นออกมา
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร และโหดร้ายเพียงใด” ว่าพร้อมกับขยับกายนั่งคุกเข่าตรงหน้านาง ก่อนที่มือเรียวจะจับกลุ่มผมที่มัดอยู่เพื่อให้นางเงยหน้าขึ้นมา ยามนี้เองที่เขาได้เห็นแววตานางชัดเจน มันยังคงบวมแดง ปากก็ซีดเซียวหาความงามไม่มีเลย
“เจ้าบังอาจมากที่กล้าขึ้นมาบนรถม้าข้า” สิ้นคำเขาก็ใช้มีดในมือแทงเข้าที่ท้องของนางเพื่อสั่งสอน โทษฐานที่กล้าล่วงเกินชินอ๋องเช่นเขา “ชีวิตขอทานเช่นเจ้าไม่ควรค่าให้อยู่ต่อสักนิด”
#โอ๊ยสงสารลูกสาว