2.ไม่ใช่อย่างที่คิด
ซูเหยานั่งสะอื้นตัวสั่นเทา นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้าอีก ทำได้แค่ฟังเสียงครางของทั้งคู่ เพราะสองขาไม่มีแรงก้าวพาตนเองออกไปจากตรงนี้เลย
สภาพจิตใจนางย่ำแย่ยิ่งนัก ไม่คิดว่าตนจะมาเจอเรื่องเช่นนี้ ทั้งที่ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา จางหลินคุนดีกับนางมาก แวะเวียนไปหาตนที่ตำบลแทบทุกวัน จนบิดาวางใจยอมให้แต่งงานกัน
และเขาก็ทำให้นางเชื่อสนิทใจไม่คิดระแวงแม้แต่น้อย
จากนั้นไม่นานเสียงครางก็เงียบหายไป ดูท่าทั้งคู่คงจะเสร็จกิจกันแล้ว และดูเหมือนใครบางคนกำลังเดินตรงเข้ามาหานาง ทำให้ซูเหยารีบถดตัวถอยหนีทันที
“หึ! คิดว่าข้าพิศวาสเจ้ากระนั้นหรือ” เสียงหยันดังมา ก่อนจะยอบกายนั่งลงตรงหน้านาง มองด้วยสายตาเหยียดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก่อนนี้เขาออกจะอ่อนโยนมาก
ใบหน้าเปื้อนเปรอะไปด้วยน้ำใสเงยขึ้นสบตากับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสามี ก่อนจะมองเลยไปที่สตรีอีกคนที่ยิ้มหยันอยู่บนเตียง
“ไยพี่ทำกับข้าเช่นนี้” เสียงสั่นเครือเปล่งออกมาถามคนตรงหน้า ซึ่งเขายังคงแววตาเรียบเฉยเช่นเดิม
“คิดว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ หรือหานซูเหยา เจ้ามันก็แค่บุตรสาวของหมอเถื่อน ทั้งที่ไม่มีความรู้ใดเลยสักนิด กลับอวดอ้างว่าตนเป็นหมอเทวดา ทำคนอื่นตายยังไม่สำนึก” ถ้อยคำก่นด่ากล่าวออกมาอย่างแค้นเคือง พาให้คนฟังฉงนใจยิ่งนัก
บิดานางไม่เคยทำให้ผู้ใดตายเสียหน่อย เหตุใดหลินคุนถึงกล่าวออกมาได้ และเขายังมีท่าทางเหมือนแค้นมากด้วย ต่อให้บิดานางรักษาใครจนตายจริง แล้วมันเกี่ยวอันใดกันกับเรื่องคืนนี้
“ข้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านกล่าวเลยสักนิด มันเกี่ยวอันใดกับการที่ท่านพาสตรีอื่นมาหลับนอนในคืนเข้าหอของเรา”
“ฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นมา ทำให้ผู้ที่นั่งสะอื้นอยู่ยิ่งมึนงงหนักขึ้นไปอีก เพราะไม่เข้าใจการกระทำอีกฝ่ายเลย
“ซูเหยาเอ๋ยซูเหยา เจ้านี่ช่างโง่นัก แค่บุรุษบอกว่ารักก็หลงเชื่อโดยง่าย ช่างเป็นสตรีไร้หัวคิดเสียจริง นายน้อยเช่นข้าหรือจะไปสนใจสตรีบ้านนอกเช่นเจ้า ข้าก็แค่เอาคืนที่บิดาเจ้าทำฮูหยินข้าตายก็เท่านั้น เจ้าต้องชดใช้แทนเขา จำเอาไว้” บอกสิ่งที่นางสงสัย ซึ่งมันทำให้ซูเหยานิ่งไปอีกครั้ง
นี่เขาแต่งงานมาก่อนแล้วหรือ เหตุใดตนจึงไม่รู้เลย
ทว่ามันจะแปลกอันใด ในเมื่อนางอยู่แต่ในตำบล ออกจากบ้านก็แค่บริเวณใกล้เคียงเพื่อช่วยรักษาคนป่วยก็เท่านั้น
ในเมืองหลวงก็ยิ่งไม่เคยได้เดินทางมา จะเรียกว่าเป็นคนละชนชั้นหรือคนละกลุ่มก้อนก็ว่าได้ ต่อให้มีโอกาสได้มา นางก็คงไม่ได้มานั่งสนใจว่าใครเป็นใคร เพราะในเมืองมองคนตามชนบทไม่ต่างกับพวกขอทานที่เดินขออาหารกินในเมือง
“ฮึก!...พี่แต่งกับข้าเพื่อแก้แค้นท่านพ่องั้นหรือ”
“ใช่! เหมือนจะเริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วนะ” ยิ้มเยาะใส่ทันที
ดวงตาสวยสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่จ้องมองนาง ริมฝีปากเขายกมุมขึ้น เย้ยหยันอย่างซึ่งหน้า ไม่คิดสงสารผู้ที่ตนทำให้ร้องไห้สักนิด ทั้งที่ดวงตานางแดงก่ำแล้ว
“ท่านพ่อไม่เคยทำให้ผู้ใดตาย ท่านแม่ก็เช่นกัน” เถียงเขาเสียงสั่น เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมันไม่จริงเลยสักนิด จะมากล่าวหากันลอย ๆ ได้เยี่ยงไร แค่เขาบอกก็จะเป็นเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดก่อนนั้นเขาไม่เอาผิดกับบิดาตนเล่า
“คนเช่นนั้นหรือจะยอมรับ” ยังคงส่งเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนจะยอบกายลงอีกหน แล้วยื่นมือมาบีบคางนางไว้
“มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายาที่จ่ายมาทำให้ฮูหยินและลูกข้าตาย มันยังคงใช้ชีวิตสุขสบายมีคนนับหน้าถือตา ทั้งที่มันพรากสองชีวิตไปจากข้า ต่อจากนี้อย่าหวังว่าครอบครัวเจ้าจะได้อยู่สุขเลย ข้าจะเอาคืนจนเจ้าอยากตายตามเมียกับลูกข้าเลยทีเดียว” สิ้นคำเขาก็ออกแรงผลักจนร่างเล็กล้มฟุบไปกับพื้น
ซูเหยาไม่มีแรงจะต่อต้าน หมดทั้งแรงกายและใจ หมอบอยู่กับพื้นสะอื้นอยู่เช่นนั้น ปกตินางไม่ใช่คนอ่อนแอถึงเพียงนี้
ทว่าต่อให้คนเราแข็งแกร่งแค่ไหน หากเจอภาพสามีนอนกับผู้อื่น รวมถึงเรื่องราวที่ได้ยิน ไม่มีใครลุกมาตอบโต้ได้หรอก
ก๊อก! ก๊อก! ตามมาด้วยเสียงของคนสนิท
“นายน้อยมีรายงานด่วนขอรับ”
“ว่ามา” หลินคุนตะโกนตอบกลับไป
“เอ่อ…นายน้อยออกมาก่อนเถอะขอรับ” คนด้านนอกกล่าว
“บอกให้พูดมาไม่มีหูหรือ” ตะคอกกลับไปอีกหน เพราะเขาขี้เกียจลุกออกไป ยามนี้กำลังสนุกที่ได้เห็นบุตรสาวของคนผู้นั้นทุกข์ใจอย่างหนัก ช่างเป็นวันที่มีความสุขยิ่งนัก
“เรือนสกุลหานไฟไหม้ขอรับ คนในเรือนไม่รอดเลยสักคน ข่าวบอกว่าพวกเขาคงเมาจนทำให้เกิดไฟไหม้” ถิงฟงรายงานเสียงดัง และมันก็ทำให้คนที่หมอบอยู่กับพื้นขยับตามเสียง
ซูเหยายันกายลุกขึ้นยืน ใบหน้าก็ยังเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา นางเดินโซเซไปที่หน้าประตู ซึ่งมีสายตาของหลินคุน มองตามจนกระทั่งประตูนั้นเปิดออก
“เมื่อครู่เจ้าว่าอันใด พูดมาอีกที” บอกเสียงสั่นเครือ
จากคนที่เคยยิ้มเยาะในคราก่อน พอเห็นหน้านางในยามนี้กลับรู้สึกสงสารจับใจ เรื่องในห้องคงทำให้ทุกข์ใจมาก ดวงตาที่เคยสวยงามยามนี้จึงบวมแดงจนเกือบจะปิดแล้ว
“ข้าถาม! ไม่ได้ยินหรือ” ตวาดเสียงแหบพร่า พร้อมกับกำคอเสื้ออีกฝ่ายกระชากไปมาเท่าที่เรี่ยวแรงพอจะมี
“คนสกุลหานถูกไฟครอกตายหมดแล้ว”
ร่างเล็กค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้นอีกหน ก้มหน้าไม่เปล่งเสียงใดออกมา ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แม้แต่องครักษ์หนุ่มทั้งสองยังเอ่ยอันใดไม่ออกเช่นกัน สภาพของซูเหยาดูไม่ได้เลย
ทว่าไม่นานนางก็เหยียดกายลุกขึ้น แม้จะยากลำบากก็เถอะ นางไม่ยอมจับใครเพื่อพยุงกายยืนเลยสักนิด
และทุกท่วงท่าทุกการกระทำ มันอยู่ในสายตาของหลินคุนทั้งหมด เขาไม่เอ่ยอันใดและยังคงนั่งนิ่งบนเตียง ปล่อยให้สตรีอีกคนลูบไล้ตามร่างกายจากทางด้านหลัง ราวกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นแค่เรื่องโกหกพกลมเท่านั้น
ซูเหยาขยับกายมายืนพิงประตู มองกลับเข้าไปด้านใน
“จางหลินคุน ท่านบอกว่าบิดาข้าจ่ายยาทำให้ฮูหยินและบุตรท่านตาย ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริง แต่อย่างหนึ่งที่ข้ารู้คือ บิดาข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ผู้ใดตายแน่ เพราะเขาเป็นหมอ ต่างจากท่าน ที่สั่งสังหารคนได้อย่างเลือดเย็น ใครกันแน่ที่ชั่วช้า”
“นี่เจ้า” จูม่งหมายจะต่อว่านางบ้าง ทว่าผู้เป็นนายกลับยกมือห้าม ทำให้เขาต้องเงียบปากลง
“มันเป็นเพราะความชั่วของบิดาเจ้าต่างหาก เวรกรรมคงตามทันแล้วกระมัง จึงได้ตายทั้งครอบครัวเช่นนี้ สาแก่ใจข้ายิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่รู้ว่าข้าแต่งบุตรสาวมาเป็นอนุ หาใช่ฮูหยินไม่” ยังมิวายส่งเสียงหยันมาอีก
แต่ละประโยคเขาหมายจะทำให้ซูเหยาเจ็บ เพราะบิดานางดันตายไปก่อนแล้ว คนที่ควรชดใช้ต่อไปก็ควรเป็นนางนี่แหละ
“หึหึ ฮ่าฮ่า” ซูเหยาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเช่นนั้น มันไม่แปลกเลย หากเป็นผู้อื่นก็อาจจะมีอาการเดียวกันเหมือนกับนาง ทั้งที่ควรจะเป็นวันที่มีความสุขมากแท้ ๆ ทว่ามันกลับกลายเป็นวันที่ทุกข์ที่สุดไปได้
มีสติอยู่ได้ก็นับว่าเป็นคนเข้มแข็งอย่างถึงที่สุดแล้ว
“พาตัวนางออกไป” ออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าอนุตนเริ่มจะมีอาการไม่เหมือนคนปกติเข้าไปทุกที เดี๋ยวร้องเดี๋ยวหัวเราะ จะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากเขาเมื่อสองปีก่อนเลย กว่าจะทำใจได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บิดามารดาแทบจะสิ้นลมตามเขาไปเลยด้วยซ้ำ
สองปีก่อน
จางหลินคุนในยามนั้นอายุยี่สิบสามปี เขาได้แต่งกับบุตรสาวพ่อค้าใหญ่ในเมือง และนางก็กำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน เป็นที่ปลื้มปีติของทุกคนในจวนอย่างมาก ต่างก็เฝ้ารอเวลาที่จะได้ยลโฉมหลานตัวน้อย ต่างฝ่ายต่างก็หายาบำรุงมาให้ เพราะนี่คือหลานคนแรกของทั้งสองสกุล พวกเขาจึงรออย่างมีความหวัง