1. วันมงคล
ยามซวี [19:00-20:59]
เสียงดนตรีในเรือนเจ้าสาวยังคงบรรเลงต่อ ผสานเสียงพูดคุยของแขกเหรื่อในจวนสกุลหาน ซึ่งทุกคนต่างก็มาร่วมยินดีในงานมงคลของบุตรสาวท่านหมอที่พวกเขานับถือ
แม้ฐานะคนเรือนนี้จะไม่ได้ร่ำรวยนัก ทว่าความดีนั้นมีมาก จึงทำให้ชาวบ้านในตำบลซินไห่ต่างก็มาร่วมยินดีกันอย่างพร้อมหน้า แต่บางคนก็มาเพราะอาหารฟรี ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ส่วนเจ้าสาวถูกรับตัวไปยังจวนของเจ้าบ่าวในเมืองตั้งแต่หัวค่ำเพื่อทำพิธี ยามนี้คงนั่งรอเจ้าบ่าวกลับไปเปิดผ้าคลุมอยู่เป็นแน่ หรือไม่นายน้อยแห่งจวนสกุลจางก็พานางเข้าหอไปแล้ว
“ดีใจกับทั้งสองด้วยนะ บุตรสาวได้แต่งกับขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง ข้าเห็นแล้วอิจฉาจริง ๆ” นายตำบลเอ่ยอย่างที่รู้สึก ทั้งอิจฉาและยินดีไปพร้อมกัน
“เจ้าก็กล่าวเกินไป ข้าเองก็ไม่นึกไม่ฝันเช่นกัน” คนถ่อมตนตอบกลับ ก่อนจะยิ้มหน้าบาน เมื่อนึกถึงความโชคดีของบุตรสาว ทั้งที่อาศัยอยู่ในตำบลที่ห่างจากเมืองหลวงมาก
ทว่า จางหลินคุน บุตรชายคนโตของท่านโหวจางก็ยังมาพบและตกหลุมรักนางได้ ซึ่งทั้งคู่คบหากันอย่างเปิดเผย จนกระทั่งฝ่ายชายได้มาสู่ขอหานซูเหยาไปเป็นฮูหยิน ทางครอบครัวเขาก็ไม่ได้ขัด แม้สตรีผู้นี้จะเป็นเพียงบุตรสาวของหมอในตำบล ฐานะหรือก็ต้อยต่ำเทียบชั้นไม่ได้เลยกับตระกูลจาง
“ท่านพี่ ดื่มมากไปแล้วนะเจ้าคะ” เสียงเตือนของภรรยาดังขึ้น เมื่อเห็นว่าสามีเริ่มเมาแล้ว เกรงจะล้มป่วยลงอีก
“ขอพี่วันหนึ่งเถอะนะเมียจ๋า วันนี้พี่มีความสุขนัก”
“นั่นสิท่านแม่ น้องสาวแต่งงานได้คนดีดูแลและยังมีฐานะอีกด้วย ต่อไปภายหน้าเราก็คงไม่ต้องลำบากแล้ว”
หานจงหยวนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเขาอ้อแอ้ไม่ต่างจากบิดาเลย เพราะดื่มกันตั้งแต่ส่งน้องสาวขึ้นเกี้ยวเสร็จแล้ว
“เจ้าก็เหมือนกันแทนที่จะห้าม ดูเอาเถอะพอกันทั้งพ่อทั้งลูก” บ่นอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะส่ายหัวเมื่อเห็นว่าทั้งคู่นั่งกอดคอกันไปแล้ว นางจึงต้องเดินไปส่งแขกที่มางานเพียงลำพัง
“ขอบคุณทุกคนมากนะ กลับกันดีดีล่ะ” เอ่ยกับแขกคนสุดท้ายแล้วนางก็ปิดประตูลงกลอนตรงทางเข้าเรือน
“เห้อ! แล้วข้าจะพากลับเข้าไปอย่างไรล่ะทีนี้ ตัวก็ไม่ใช่เบา” ยืนเท้าสะเอวมองสามีและลูก ครั้นจะปล่อยให้นอนในสวน วันพรุ่งคงได้เป็นหวัดกันถ้วนหน้าเป็นแน่
สุดท้ายนางก็ต้องประคองสามีเข้าเรือนก่อน เพราะบุตรชายขอไปปลดทุกข์และบอกจะกลับเข้าห้องเอง
“วันหน้าหากดื่มเช่นนี้อีก ข้าจะปล่อยให้ท่านนอนนอกเรือน คอยดูเถอะหานหลิงเจ๋อ” บ่นให้สามี ก่อนจะทิ้งอีกฝ่ายลงเตียง แล้วออกมาดูบุตรชายตน ซึ่งกลับเข้าห้องไปแล้ว นางจึงเดินมาดับไฟเพื่อเข้านอน หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
ยามจื่อ [23:00-00:59] จวนสกุลจาง
เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ หลังจากนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่นานกว่าสามชั่วยาม เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาร่วมหอกับนางอย่างที่ควรจะเป็น
“หรือว่าเมาจนหลับไป แต่เหตุใดจึงไม่มีใครมาแจ้งข่าวล่ะ หรือจะดื่มหนักกันทั้งหมด ไม่มั้ง” พึมพำกับตนเองภายใต้ผ้าคลุม และนางก็เริ่มทนไม่ไหว เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงผ้าคลุมออก มองไปรอบห้องก็พบเพียงความว่างเปล่า ไร้วี่แววคนแม้แต่สาวใช้ ที่น่าจะอยู่เพื่อคอยรับใช้นางในฐานะฮูหยินน้อยของจวนก็ไม่มี
ซูเหยาเริ่มปลดอาภรณ์บนตัวออกจนเหลือเพียงชุดแดงด้านใน นางเดินตรงไปที่หีบผ้าเพื่อหาชุดมาสวมทับ หากจะออกไปทั้งอย่างนี้คงไม่ดีแน่ ทว่าในหีบกลับเป็นอาภรณ์เก่า ๆ สีซีด แม้มันจะมีแค่แสงของเชิงเทียนส่องสว่าง ซึ่งมันต่างจากกลางวันแน่นอน ทว่าภาพเบื้องหน้านั้นเด่นชัด อาภรณ์ในหีบนี้ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าเก่า รวมไปถึงของใช้ด้วย
“หมายความว่าอย่างไรกัน” กล่าวแล้วก็มองไปรอบห้องอีกครั้ง นางพึ่งสังเกตว่าของใช้จำพวกโต๊ะตู้เตียงต่างก็เป็นของเก่าซอมซ่อทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าใหม่ได้เลย
ใจดวงน้อยเริ่มเต้นรัว ดวงตาสวยก็กะพริบถี่
ไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอันใดขึ้น
เจ้าบ่าวไม่เข้าห้องหอ ทิ้งให้นางอยู่ลำพังจนค่อนคืนแล้ว เขาก็ยังไม่โผล่มา สาวใช้หรือใครก็ไม่มี ภายในห้องก็มีสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าห้องนอนของนางที่เรือนในตำบลเสียอีก
“หลินคุน ท่านเล่นตลกอันใดกับข้ากระนั้นหรือ” สิ้นคำนางก็เดินตรงไปที่ประตู หมายจะออกไปถามให้รู้เรื่อง
“นี่ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ใบหน้างามหันไปมองอีกฝ่ายทันที ซูเหยาจำได้ดีว่าเขาคือใคร คนสนิทของหลินคุนที่มักจะตามผู้เป็นนายไปที่ตำบลซินไห่ประจำ
“ไยเจ้าต้องถาม น่าจะรู้ดีแก่ใจมิใช่หรือ” ย้อนกลับ พร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง นางกำลังใช้ฐานะฮูหยินกับเขาอยู่นั่นเอง ใช่ว่าจะถือตนข่มท่าน ทว่ายามนี้นางต้องการคำตอบ
“นายน้อยกำลังยุ่งอยู่ขอรับ” ตอบกลับเสียงเรียบ
“ยุ่งเรื่องใดในวันเข้าหอของเรากระนั้นหรือ”
“ท่านอย่ารู้เลยขอรับ” กล่าวแล้วก็ยิ้มหยัน
คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที ก่อนนี้คนตรงหน้ามีท่าทางอ่อนน้อมต่อนางมาก แต่เหตุใดพอแต่งงานแล้วกลับเสียงแข็งใส่ตน
“พาข้าไปหาเขา มิเช่นนั้นข้าจะอาละวาดให้นอนกันไม่ได้เชียว” ส่งเสียงขู่ ก็รู้แหละว่ามันไม่ได้น่ากลัวเลย
“ขอรับ” กล่าวแล้วก็ผายมือให้
“????” คิ้วสวยผูกกันเป็นปมอีกหน เมื่ออีกฝ่ายว่าง่ายเกินไป นางจึงเดินตามเขาไปยังเรือนหลังหนึ่ง ซึ่งมันอยู่ห่างจากเรือนที่ตนอยู่มาก และการตบแต่งก็ต่างกัน
คราแรกซูเหยาก็นึกแปลกใจอยู่ว่าทำไมแขกที่มาร่วมงานถึงได้น้อยนัก พิธีก็จัดขึ้นอย่างรีบเร่ง นางก็ถูกพาไปนั่งรอในห้องหอ หากเปิดผ้าคลุมหนาเตอะออกได้ คงเห็นภาพบรรยากาศทุกอย่างชัดเจน และอาจจะโวยวายไปตั้งแต่ยามนั้นแล้ว ตอนนี้จึงเหมือนกับตนถูกหลอกอย่างไรไม่รู้
คิดได้เช่นนั้นใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นรัว โดยเฉพาะตอนที่ผู้เดินนำนั้นหยุดลงที่หน้าเรือนหลังหนึ่ง ซึ่งใหญ่โตมาก
“เสียงอาจจะดังหน่อยนะขอรับ ท่านเข้าไปเถอะ” พูดพร้อมกับเปิดประตูให้นางเดินเข้าไป และยังมิวายส่งยิ้มเยาะมาให้ด้วย
ซูเหยามองสีหน้าท่าทางอีกฝ่ายแล้วก็ยิ่งกังวล กลัวว่าถ้าเดินเข้าไปแล้วจะทำให้ทุกสิ่งที่วาดฝันนั้นจบลง
“อยากพบนายน้อยมิใช่หรือขอรับ เขาอยู่ข้างในรีบเข้าไปสิ” คนด้านหลังยังย้ำความต้องการของนาง
ใจดวงน้อยเริ่มสั่นรัวหนักกว่าเดิม เพราะเสียงหนึ่งกำลังดังขึ้นมาตีคู่กับความเงียบด้านนอก ทำให้ได้ยินทุกอย่างชัดเจน
ทว่า! จะให้ยอมแพ้โดยไม่ดูให้แน่ชัด มันคงไม่ใช่ซูเหยาเป็นแน่ สองเท้าเล็กก้าวเดินเข้าไป ทั้งที่ใจก็เต้นระทึกแรงขึ้นทุกที จนกระทั่งถึงประตูชั้นใน นางจึงหยุดลงเพื่อฟังอีกรอบ
“อื้อ…ท่านพี่ คิดจะกินข้าทั้งคืนเลยหรือ…อ๊ะ!..อ๊า”
“คืนเข้าหอ ใครเขานอนกันฮึ” เสียงแหบพร่าอ่อนโยนคุ้นหู มันช่างเชือดเฉือนใจดียิ่งนัก นี่หรือบุรุษที่เคยบอกว่ารักกัน
ปึง!
เท้าเล็กใช้แรงถีบประตูจนมันเปิดออก ภาพที่เห็นคือร่างแกร่งของสามีที่พึ่งเข้าพิธีกันเมื่อหัวค่ำ นอนทับร่างเปลือยเปล่าของสตรีงามนางหนึ่งรูปร่างเย้ายวนยิ่งนัก
“ออกไป! ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า” เอ่ยออกมาอย่างไม่ไยดี มิหนำซ้ำเขายังไม่หยุดการกระทำอีก
“ยะ…ไยท่านถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้” กล่าวเสียงเครือ พร้อมกับหยดน้ำใสที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ร่างก็ทรุดลงกับพื้น
ใจดวงน้อยแตกสลายแล้ว
#เปิดมาเจอหลัวชั่วเลย เอาไงล่ะทีนี้