บทที่ 13
อากาศข้างนอกดีเกินกว่าที่หยางเหวินเย่จะทนอุดอู้อยู่ในห้องนอนได้ ลมเย็น ๆ พัดผ่าน กอปรกับเสียงนกร้องทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวของเขากระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง เดิมทีคิดว่าการจากบ้านไปนานคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทว่าพอตรองดูแล้วกลับพบว่าเขาพลาดอะไรไปหลายอย่าง
อาการป่วยของมารดาดีขึ้นมาก หยางชิวเหยามิได้เจ็บออดแอดดั่งที่ผ่านมาแล้ว และพอสอบถามจากบ่าวชรา ก็พบว่าคุณหนูเถียนเถียนคอยจัดการดูแลควบคุมอาหารให้กับฮูหยินหยางด้วยตนเอง ส่วนท่านพ่อที่บอกว่าอาการเจ็บป่วยจากการตกม้านั้นมิได้เป็นอะไรมาก ปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหก เพราะกว่าจะกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปี
‘หากมิได้คุณหนูเถียนเถียน ทางบ้านเหลียนซานก็คงจะแย่ไปเหมือนกันขอรับ’
‘คุณหนูคอยดูแลสั่งการ แม้มิเคยก้าวขาออกจากบ้าน ทว่าก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง’
ดูท่าระหว่างเขาละเลยการทำหน้าที่ของบุตรที่ดี ภรรยาได้ทำทุกอย่างทดแทนไปหมดแล้ว หยางเหวินเย่ติดค้างนางมากเหลือเกิน และควรจะถือโอกาสที่ยังอยู่ในเมืองเทียนโจว ตอบแทนชดใช้ภรรยาที่มีอายุน้อยกว่าถึงสิบสองปีอย่างสุดความสามารถ เขาตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างให้นางมีความสุข
เว้นก็แต่เรื่องบนเตียง หยางเหวินเย่ฝืนใจทำมิได้จริง ๆ
หยางเหวินเย่พยายามอย่างมากที่จะไม่ลงน้ำหนักไปยังข้อเท้าข้างที่เจ็บ นึกหงุดหงิดไม้เท้าของท่านพ่อที่มีขนาดไม่สมดุลกับส่วนสูงของตน แต่จะให้โวยวายไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เขาทำได้แค่รอให้พ่อค้าในเมืองนำไม้เท้ามาให้เลือกใหม่ในวันพรุ่งนี้ช่วงสาย
เขาค่อย ๆ ขยับตัวอย่างยากลำบากตรงเข้าไปในสวนที่มีเสียงหัวเราะสดใสของภรรยาดังก้อง
ภรรยาอัปลักษณ์ของท่านแม่ทัพหยางเหวินเย่
ทว่ายังมิทันได้เห็นหน้านาง บ่าวใบ้กลับตรงเข้ามาขัดขวางเอาไว้เสียก่อน จางฉวนทำมือทำไม้ส่งเสียงอืออา ทำนองว่าให้รออยู่ตรงนี้ หลังจากนั้นก็ตรงไปยังร่างบอบบาง และส่งภาษามือบอกว่าสามีของนางต้องการพบ
หยางเหวินเย่เห็นนางหยิบผ้ามาคลุมหน้า
“ท่านพี่เดินระวังนะเจ้าคะ” เถียนเถียนกล่าวเตือน เพราะยังจำภาพที่เขาสะดุดล้มเพราะก้อนหินประดับสวนได้เป็นอย่างดี
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ลงสีภาพวาดเจ้าค่ะ คุณหนูหลิวจะมารับในอีกหนึ่งชั่วยาม”
“เจ้าวาดต่อเถอะ ข้าไม่กวน” ทว่าหยางเหวินเย่ก็มิได้ไปไหน นั่งพิงอยู่มุมหนึ่งของศาลาหลังน้อยที่ภรรยาใช้เป็นสถานที่สำหรับวาดภาพนั่นเอง
“จางฉวนไปเตรียมน้ำชากับขนมมาให้ท่านพี่สักหน่อยเถิด”
“อา อา” บ่าวใบ้รีบรับคำ ทว่ายังมิทันได้ขยับตัวไปไหน ก็ถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน
“เปลี่ยนเป็นสุราและกับแกล้ม” หยางเหวินเย่ออกคำสั่ง
“แต่อาการบาดเจ็บของท่านพี่ยังไม่หายดี เถียนเถียนคิดว่า”
“ข้าต้องการดื่มสุรา” เสียงของแม่ทัพหนุ่มหนักแน่นพอที่จะทำให้เถียนเถียนมิเอ่ยอันใดต่อ
“จางฉวน ไปนำสุรามาให้ท่านพี่” กล่าวจบก็หันกลับไปลงสีวาดรูปต่อ ไม่สนใจผู้ที่เข้ามาก่อกวนความสงบของนางอีก
สามีต้องการสิ่งใด ภรรยาย่อมจะไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวาง
หยางเหวินเย่เสียสละตนเอง ยอมเข้าพิธีมงคลเพื่อปกป้องนางมิให้ต้องลำบาก แม้กล่าวชัดแล้วว่าจะไม่มีวันรักภรรยา ทว่าก็ยังใจกว้างยอมให้นางดูแล ทำหน้าที่ภรรยาโดยไม่แสดงกิริยาคุกคามให้ต้องลำบากใจ และเมื่อเขาต้องการสิ่งใดที่แม้ฟังแล้วดูขัดใจไปบ้าง เถียนเถียนก็ควรจะยินยอมสักหน่อยมิใช่หรือ
หลังจากตั้งสมาธิลงสีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ภาพวาดเสมือนตัวจริงของคุณหนูสกุลหลิวก็สวยสมบูรณ์ดี เถียนเถียนกวักมือเรียกจางฉวนเข้าไปชมดูฝีมือของนาง และสั่งให้นำผลงานชิ้นใหม่ไปให้ฮูหยินหยางชมดูก่อนที่จะมอบให้กับลูกค้า ทั้งบ่าวและนายหัวเราะน่าชม ดวงตากลมโตทำให้หยางเหวินเย่ลืมหายใจไปชั่วขณะ
ดวงตาสีน้ำผึ้งของนางงามยิ่งนัก น่าเสียดายที่ใบหน้ากลับมิงดงามสมกัน ทว่าเวลาก็เลื่อนผ่านนานกว่าห้าปีแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเถียนเถียนจะงดงามขึ้นตามวัย จนเป็นเหตุให้คุณชายพวกนั้นคลุ้มคลั่งจนควบคุมสติไม่อยู่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่คำลวงหรือข่าวลือที่ทางสร้างขึ้นเพื่อกลบความอัปลักษณ์ของสะใภ้สกุลหยาง
“เจ้าดูสนิทกับจางฉวนมาก”
“นอกจากจางฉวน ข้าก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกแล้ว”
เถียนเถียนเล่าต่อไปว่าพบจางฉวนอยู่ในพงหญ้าหน้าบ้านสกุลหวัง สภาพร่อแร่มีโอกาสรอดไม่เกินสามส่วน
ยามนั้นเด็กชายอายุไม่น่าเกินแปดปีดี นางนึกสงสารจึงกราบกรานอ้อนวอนท่านพ่อให้ช่วยรักษาให้มีชีวิตรอด ซึ่งท่านรองแม่ทัพหวังเฉินกงก็ยอมทำตามคำขอร้องของบุตรสาว แต่เมื่อค่ารักษาแพงมากเข้า เถียนเถียนก็เริ่มเกรงใจบิดา และนำเอาของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าไปขาย เพื่อนำเงินมารักษาเพื่อนใหม่ของนาง
จางฉวนอายุน้อยกว่านางเกือบสองปี และร่างกายผอมบางไม่ต่างจากสตรี เมื่อตระหนักได้ว่าตนมีชีวิตรอดเพราะคุณหนูเถียนเถียน บ่าวใบ้จึงสัญญาว่าจะดูแลผู้มีพระคุณตัวน้อยให้ดีที่สุด และนั่นก็ผ่านมาได้เกือบสิบปีแล้ว
“เจ้าชอบวาดรูปหรือ”
“เจ้าค่ะ เถียนเถียนชอบวาดรูป แต่ฝีมือมิยังได้เรื่องนัก”
“ท่านแม่ชอบหรือไม่” นางถามจางฉวนที่วิ่งกลับมาพอดี
“อือ อือ” จางฉวนมิทันได้คืนภาพให้กับคุณหนูเถียนเถียน ก็ถูกท่านแม่ทัพกวักมือเรียกเข้าไปหาเสียก่อน
“ฝีมือดี มิควรต้องถ่อมตัว”
คนพูดน้อยเตรียมคำพูดเอาไว้มาก ทว่าพอได้อยู่กับภรรยาตามลำพังกลับพูดไม่ออก รอจนกระทั่งบ่าวกลับมาก็ยังเงียบเสียงไม่ต่างจากเดิม หยางเหวินเย่อยากถามภรรยาว่าที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่ แต่ก็จำได้ว่านางตอบไปแล้ว และพอตั้งท่าว่าจะถามเรื่องอื่น กลับไม่รู้ว่าควรพูดถึงเรื่องอะไร
หยางเหวินเย่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
“ท่านแม่บอกข้าว่าท่านพี่มิค่อยชอบพูด แต่ข้าพูดเก่งยิ่งนัก หากวันใดทำให้ท่านพี่รำคาญใจ รบกวนท่านพี่ช่วยตักเตือนเถียนเถียนด้วยนะเจ้าคะ”
“พูดไปเถิด เสียงของเจ้าน่าฟังดี” หยางเหวินเย่ละคำว่าข้าชอบฟังเอาไว้ในใจ
