บทที่ 12
หยางชิวเหยาเตรียมอาหารเอาไว้ให้ลูกชาย สุขภาพของนางดีขึ้นมาก เพราะได้รับความเอาใจใส่จากสามี ทั้งยังมีลูกสะใภ้ที่ดีคอยดูแล พอเห็นเถียนเถียนสอดแขนประคองลูกชายเข้ามายังโต๊ะอาหารก็ให้รู้สึกชื่นใจ หากโชคดี อีกไม่นานก็คงจะได้อุ้มหลานแล้ว
ลูกสะใภ้งามพร้อมขนาดนี้ เจ้าลูกชายคงมิโง่เง่ากระมัง
“เถียนเถียน เหตุใดเจ้าจึงไม่มานั่งร่วมโต๊ะอาหาร แล้วเหตุใดจึงต้องสวมผ้าคลุมนั่น” หยางชิวเหยาอดสอบถามมิได้
“เรียนท่านแม่ ข้าต้องย้ายข้าวของออกจากห้องของท่านพี่แล้ว ส่วนเรื่องผ้าคลุมหน้า เถียนเถียนกลัวว่าท่านพี่เห็นหน้าแล้วจะตกใจจนนอนไม่หลับ” เถียนเถียนกล่าวพลางหัวเราะ และนั่นทำให้ผู้อาวุโสออกอาการขบขันตามไปด้วย
“ช่างพูดยิ่งนัก! แต่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเปลี่ยนห้อง สามีภรรยามิได้อยู่ร่วมหอกัน หาใช่สามีภรรยาไม่” ฮูหยินหยางออกคำสั่งมิให้บ่าวช่วยนางขนย้ายข้าวของ
“แต่ข้าอยากนอนคนเดียว” หยางเหวินเย่เอ่ยเสียงแข็ง ยังมิชินกับการถูกบังคับให้ทำตามความต้องการของผู้อื่น แม้คนคนนั้นจะเป็นมารดาของเขาเองก็ตาม
เดือดร้อนเจ้าของดวงตางามประหลาดต้องรีบเร่งกระซิบสนทนากับแม่สามีเป็นการส่วนตัว นางทำหน้ามิค่อยอยากเชื่อ ทว่าความหลงใหลในตัวของลูกสะใภ้มีมาก ต่อให้เรื่องไม่น่าเชื่อเพียงใด หยางชิวเหยาก็พร้อมที่จะเชื่อโดยมิขัดข้อง
“เช่นนั้นก็ยกเตียงเข้าไปนอนในห้องเดียวกัน หากเหวินเย่ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะได้เรียกหากันได้สะดวก”
“ท่านแม่ของข้าน่ารักที่สุด” เถียนเถียนกอดนาง ก่อนจะตรงเข้าไปประคองผู้ที่เพิ่งจะมาใหม่
“ฮูหยินระวังตัวให้ดี ลูกสาวของเจ้าคนนี้ปากหวานเอาใจเก่งยิ่งนัก” หยางซือถงเพิ่งจะเสร็จธุระ จึงรีบเข้ามาร่วมรับประทานอาหาร
“ข้าไม่อยู่เพียงห้าปี จากลูกสะใภ้เลื่อนสถานะเป็นลูกสาวแล้วหรือนี่” หยางเหวินเย่แค่นยิ้ม
“หากรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าจะทำหน้าที่สามีที่ดีไม่ได้ ข้าคงไม่ให้มีการแต่งงานเกิดขึ้นเสียตั้งแต่ทีแรก!”
“แล้วผู้ใดบังคับให้!...” หยางเหวินเย่ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อาหารเย็นหมดแล้ว สองพ่อลูกทะเลาะกับจบหรือยัง”
เสียงของฮูหยินหยางยังคงทรงพลัง หยุดยั้งมิให้บุรุษต่างวัย พลาดเอ่ยอันใดที่ทำให้ต้องเสียใจกันในภายหลัง
“เถียนเถียนไปทำธุระของเจ้าเสียเถิด แม่นางสกุลหลิวจะมารับภาพวาดในช่วงบ่ายมิใช่หรือ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่กินให้อร่อยนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าลงสีเสร็จแล้วจะนำมาให้ชมเสียก่อนที่จะมอบให้นาง” เถียนเถียนยิ้มให้กับผู้อาวุโสทั้งสองและทำความเคารพสามี ก่อนจะตรงไปยังสวนสวยอันเป็นบริเวณที่นางใช้สำหรับวาดภาพลงสี
“ฝีมือท่านแม่ยังอร่อยเหมือนเดิม ออกจะอร่อยกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ” หยางเหวินเย่เอ่ยชมขณะคีบเนื้อปลาหลีฮื้อเปรี้ยวหวานเข้าปาก ส่วนไก่เต๋อโจวของโปรดนั่นก็อร่อยมิแพ้กัน
“ข้าไม่ได้เข้าครัวนานเกือบสี่ปีแล้ว นั่นคือฝีมือของเถียนเถียน หากอยากจะเอ่ยชม ก็ควรจะไปชมภรรยาของเจ้า”
หยางเหวินเย่ไม่ตอบ เขานั่งรับประทานอาหารจนเกลี้ยงจาน และในจังหวะนั้นเอง บ่าวคนหนึ่งก็วิ่งมาแจ้งข่าวด้วยภาษามือ พอท่านแม่กล่าวว่าเข้าใจแล้ว บ่าวคนนั้นจึงทิ้งมือลงและยืนรอคอยคำสั่งของเจ้านาย
มิต้องบอกก็เดาได้ว่าบ่าวผู้นั้นคือคนของเถียนเถียน
“ท่านหมอมารอแล้ว”
“ท่านแม่รู้ภาษามือด้วยหรือ”
“อะไรที่จะให้นางมีความสุข ผู้คนในบ้านเหลียนซานล้วนยินดีที่จะทำ”
สายตาคาดโทษของมารดาทำให้หยางเหวินเย่จำต้องลอบกลืนน้ำลาย แม้ทราบดีว่าโตพอที่จะไม่รู้สึกอันใดกับหวาย ทว่าก็ยังนึกเกรงใจมารดาไม่ต่างจากเดิม
เขาปล่อยให้บ่าวใบ้จางฉวนประคองกลับเข้าห้องนอนของตน ปรากฏว่ามุมห้องมีเตียงเล็ก ๆ ตั้งอยู่ ทว่ายังมิทันได้สอบถามอะไร ก็ต้องสนทนากับท่านหมอ เพื่อหาทางให้ข้อเท้าของเขากลับมาเป็นปกติดังเดิม
“ข้อเท้าพลิกธรรมดา แต่อย่าเพิ่งแช่น้ำร้อนจนกว่าจะถึงคืนวันพรุ่งนี้ ช่วงนี้ท่านคงต้องใช้ไม้เท้าหรือหาคนพยุงเดินไปก่อน อดทนลำบากสักสองถึงสามสัปดาห์ก็คงจะหายดี ส่วนผ้าก็ให้พันเอาไว้ตามเดิม ห้ามแน่นหรือหลวมมากไปกว่านี้”
“ขอบคุณท่านหมอที่สละเวลา”
ท่านหมอหันไปถามไถ่จางฉวนว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าบ่าวรูปร่างกำยำยิ้มกว้าง พร้อมกับทำท่าเบ่งกล้ามแสดงความแข็งแรง ท่านหมอก็ขยี้หัวอย่างเอ็นดู แต่พอบ่าวใบ้หันกลับมาเจอหน้าเจ้านายก็พลันหุบยิ้ม มิร่าเริงดั่งยามที่สนทนากับผู้อื่น หยางเหวินเย่เข้าใจไปได้ทางเดียวว่าคนของเถียนเถียนคงจะโกรธแทนเจ้านาย
ท่านแม่ทัพละเลยภรรยานานถึงห้าปี ก็สมควรที่จะถูกบิดามารดาและบ่าวของนางทำหน้าบูดบึ้งใส่อยู่ดอก!
