บทที่ 3 ทำไมต้องกลัว
บทที่ 3 ทำไมต้องกลัว
ระหว่างทางจิ้นหยางก็ได้ถามเจียวซิ่งเกี่ยวกับใต้เท้ามู่ว่าเหตุใดต้องเกรงกลัวด้วย เจียวซิ่งก็ได้เล่าให้ฟังว่าท่านป้านั้นได้ไปหยิบยืมเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูกแต่ทว่าไม่มีความรู้แล้วแห้งแล้ง ทำให้ไม่มีผลผลิตและไม่มีข้าวไปคืนท่านใต้เท้าทำให้เขาคิดเป็นจำนวนพร้อมดอกเบี้ยที่มากมายมหาศาล ใต้เท้าเป็นคนมักโลภหากผู้ใดได้ดีก็มักจะกลั่นแกล้ง แต่หากว่าผู้ใดแบ่งผลผลิตให้ก็จะปล่อยผ่าน เป็นอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนานทำให้ใต้เท้าผู้นี้ร่ำรวยขึ้นทุกวัน เมื่อจิ้นหยางได้ฟังก็กำหมัดแน่นเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากรีดเลือดกับปู
“เหอะ เป็นคนเห็นแก่ตัวแก่ได้จริง ๆ ตอนนี้ดูท่าฝนจะตกแล้ว ฉันจะต้องทำทุกอย่างเพื่อหาทางใช้หนี้ใต้เท้ามู่ผู้นี้ให้ได้ ชีวิตของฉันต่อจากนี้จะได้สุขสบาย”
จิ้นหยางครุ่นคิดในใจพลางเดินตามหลังเจียวซิ่งไปในป่า ไม่นานนักก็ถึงป่า ไม้แห้งน้อยใหญ่เต็มไปหมดเจียวซิ่งวางผ้ามัดฟืนเอาไว้ที่พื้นก่อนจะเดินเก็บมาใส่ผ้าให้ได้มากที่สุด จิ้นหยางเห็นดังนั้นจึงรีบทำตามเจียวซิ่งโดยไม่รอช้า ในที่สุดทั้งสองก็พากันเดินกลับเรือน
ครั้นใกล้จะถึงกระท่อมของจิ้นหยางเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างโหมกระหน่ำ เจียวซิ่งหันมามองผู้เป็นพี่ชายอย่างเป็นห่วงตะโกนเรียกให้เขารีบวิ่งไปที่กระท่อมเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พี่จิ้นหยางรีบเร่งฝีเท้าเถอะยามนี้ฝนเริ่มหล่นลงมาหากท่านโดนฝนจะทำให้จับไข้ได้อีก”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” จิ้นหยางตอบกลับชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้า เขาเคยทำงานในอีกมิติมามากมายแต่คิดเลยว่าการแบกฟืนเอาไว้ที่หลัง และเดินขึ้นไปยังกระท่อมที่อยู่ด้านบนเขาจะทำให้เขาเหนื่อยหอบได้ขนาดนี้
เมื่อมาถึงกระท่อมจิ้นหยางวางฟืนลงด้านหน้ากลิ่นของอาหารโชยตามกระแสลมเข้าจมูกทำให้ต่อมอยากอาหารทำงาน เสียงท้องของจิ้นหยางร้องโครกคราก
“โครก "เจียวซิ่งหันขวับจ้องมองหน้าจิ้นหยางเมื่อวางฟืนลงที่พื้น
“โอ๊ะ! พี่จิ้นหยางหิวแล้วสินะ! แต่ก็ไม่แปลกหรอกท่านพี่นอนไปเสียตั้งนานอย่างนี้รีบเข้าเรือนเช็ดเนื้อเช็ดตัวกินอาหารเถิดขอรับ ท่านป้าคงทำเตรียมไว้รอแล้ว “เจียวซิ่งยิ้มกริ่มให้แก่จิ้นหยางพลางจะเดินหันหลังกลับเรือนของตน
“แล้วเจ้าจะไปที่ใดกัน ไม่เข้ามาด้วยกันหรือ? ตอนนี้ฝนตกแรงกว่าเดิมอีกด้วย” จิ้นหยางชักชวนให้เจียวซิ่งอยู่กินอาหารด้วยกัน พลันเสียงของจิ้นหยางเงียบลงหญิงชราหรือมารดาของจิ้นหยางได้เดินออกมาจากในครัวเรียกเจียวซิ่งอีกคน
“นั่นสิเจ้าจะรีบกลับทำไม อยู่กินอาหารด้วยกันเสียก่อน เจ้าอุตส่าห์พาจิ้นหยางไปหาไม้ฟืนมา”
“เอ่อ ...ท่านป้าข้าขอบคุณน้ำใจของท่านป้านะขอรับแต่ทว่าข้าคงกินข้าวกับท่านไม่ได้ เดี๋ยววันรุ่งขึ้นท่านพี่กับท่านป้าจะไม่มีข้าวกรอกหม้อ” เมื่อจิ้นหยางได้ยินก็พอเข้าใจว่าเจียวซิ่งคิดเช่นไร เฮ้อ! นี่เขายากจนจนต้องอดมื้อกินมื้ออย่างนั้นหรือ?
“เจียวซิ่งเจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้ากับท่านแม่จะไม่มีอะไรกิน จากนี้ไปข้าจะไม่ให้ท่านแม่อดอยากอีกแล้ว มาเถิดเข้ามาด้านในก่อน หากเจ้ากลับไปโดยไม่สนคำพูดของข้า เท่ากับว่าเจ้าไม่นับถือข้าอีกต่อไป”
"โธ่... พี่จิ้นหยางเอ่ยมาเช่นนี้ข้าก็ยากจะปฏิเสธสิขอรับ ก็ได้ขอรับหากท่านไม่อิ่มอย่ามาโทษข้าแล้วกัน " เจียวซิ่งยิ้มกว้างเดินตามจิ้นหยางเข้ามาในเรือน ท่านแม่เองรีบเดินเข้าครัวเพื่อนำถ้วยชามและอาหารมาให้ทั้งสอง เมื่อจิ้นหยางเห็นรีบเข้าไปช่วยทันที
"ท่านแม่ ท่านไปนั่งเถิดขอรับต่อจากนี้ข้าจะเป็นคนทำทุกอย่างในเรือนเอง ท่านแม่เริ่มแก่ชราแล้วแค่อยู่อย่างไม่เจ็บไข้ได้ป่วยข้าก็ดีใจแล้วขอรับ"
"จิ้นหยางเจ้าช่างกตัญญูนัก โชคดีของข้าเหลือเกินที่สวรรค์มอบเจ้ามาให้ข้า " หญิงชราใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มปริ่มน้ำตาจ้องมองบุตรชายด้วยความรัก
หลังจากนั้นทั้งสามได้พากันกินอาหารเย็นอย่างอบอุ่น ชีวิตของลี่หยางที่มาอยู่ในร่างของจิ้นหยางทำให้เขาได้รับความอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ราตรีมาเยือนฝนยังคงตกอยู่แต่ทว่าซาลงบ้างแล้วยามนี้เจียวซิ่งได้กลับเรือน จิ้นหยางกวาดตามองรอบ ๆ เรือนในเรือนของเขาความสว่างมีเพียงแสงไฟจากฟืนที่เขาหามา จิ้นหยางจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ หญิงชราที่กำลังจะโน้มตัวลงนอนเตียงของตน
"จิ้นหยางเจ้ายังไม่นอนอีกหรือ ? มีเรื่องอะไรหรือว่าเจ้าไข้ขึ้นข้าจะลุกหายาให้เจ้าเดี๋ยวนี้"
"มิใช่ขอรับท่านแม่ ข้าเพียงแค่อยากถามท่านแม่ให้หายข้องใจเท่านั้น เจียวซิ่งเล่าให้ข้าฟังท่านแม่ติดหนี้ใต้เท้ามู่เท่าไหร่หรือขอรับ "
"หนี้ที่ข้าติดไม่ได้มากมายอะไร แต่ใต้เท้ามู่หน้าเลือดคิดดอกมากเกินกว่าที่ข้าเอามาหลายเท่าตัว "
"ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลนะขอรับ จากนี้ไปข้าจะพยายามไม่ให้ท่านแม่ได้ทุกข์ยากอย่างนี้และข้าเองจะเป็นคนใช้หนี้ใต้เท้ามู่ให้ได้ ช่วงนี้ฝนตกลงมาแล้วถึงเวลาเพาะปลูกแล้ว ในเรือนของเรามีเมล็ดพันธุ์อะไรที่สามารถปลูกได้บ้างหรือขอรับ "
"นั้นสินะ ! ยามนี้ฝนตกลงมาแล้ว ข้าจำได้ว่าเก็บเมล็ดแตงกวาเอาไว้ หากปลูกสิ่งนี้จะทำให้เราพอเก็บไปขายนำเงินมาใช้หนี้ได้บ้าง เอาไว้รุ่งสางข้าจะหาให้เจ้าแล้วกันวันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนอนกันเถอะนะ "
"ขอรับ " จิ้นหยางเดินกลับมาเตียงนอนของตน พลางครุ่นคิดยังโชคดีที่ยังพอมีเมล็ดแตงกว่าเหลืออยู่ แถมแตงกวายังใช้เวลาเพียงไม่นานก็ออกผลผลิต เช่นนี้เขาคงได้หมดหนี้ภายในเร็ววัน แต่เมื่อจิ้นหยางโน้มตัวลงนอน เตียงนอนที่นี่ช่างเป็นเตียงจริง ๆ ที่ไม่มีความนุ่มอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้คิดถึงเตียงที่อยู่ในห้องเช่าที่อยู่ในโลกปัจจุบัน แต่แล้วเขาก็หวนคิดถึงเฉินจิ่น
ปานนี้เขาจะเป็นเช่นไรรู้สึกผิดหรือว่าสบายใจที่เขาถูกรถชนกันนะ จู่ ๆ น้ำตาของจิ้นหยางได้ไหลริน สองมือรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
"เขาคงจะดีใจที่ฉันตายจากโลกนั้นมา คงจะมีแต่ฉันเองสินะที่คิดถึงเขาจนลมหายใจสุดท้าย ลี่หยางจากนี้แกต้องลืมเขาไปได้แล้ว เพราะต่อจากนี้แกคือจิ้นหยางที่อยู่ในยุคโบราณ หักห้ามใจเสียบ้างเถอะแค่นี้ยังไม่เจ็บพออีกหรือไง " จิ้นหยางพูดในใจก่อนจะโน้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มกายฟังเสียงฝนที่ยังตกกระหน่ำลงมาจนเผลอหลับไปในความเหน็ดเหนื่อย