บทที่ 4 - โคแก่โดนฉุดกระชากใจไม่รู้ตัว
“อ่ะ...อื้อ”
พั่บ! พั่บ! พั่บ!
เสียงจังหวะของเนื้อที่ดังกระทบกระทั่งกันดังหนักหน่วง เอวสอบของกองพลยังคงบดเร่าเอาแต่ใจสาวเร็วถี่ขึ้นจนเธอหอบหายใจ เขารับรู้ได้และเขาก็ถ่ายทอดอากาศให้เธอผ่านปากเขา ปากหนาของชายหนุ่มดูดเร่าคลอเคลียกับปากอวบอิ่มนุ่มนิ่มพร้อมตวัดเกี่ยวรัดคลึงเรียวลิ้นน้อยไร้เดียงสาไปด้วย
“อ่า...ชอบไหม ชอบที่ฉันทำแบบนี้ไหมเด็กดี” เขาหมุนเอวสอบร่อนทวนเข็มนาฬิกาพร้อมกับกระแทกกายจ้วงลึกแช่ตัวนิ่งแล้วถอดถอนออกมาก่อนจะเด้งกระแทกกลับเข้าไปในตัวหญิงสาวใหม่
“อ่ะ...ชะ...ชอบค่ะ รุ้งชอบที่คุณหินทำแบบนี้ ไม่ไหวแล้ว ปรานีรุ้งด้วยค่ะ อ่า...จะตายแล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง อ่ะ...อื้อ”
พั่บ! พั่บ! พั่บ!
“จำไว้ว่ามีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้กับเธอได้ เธอมีเซ็กซ์กับฉันได้คนเดียวจำไว้นะรุ้ง อ่า...”
“จะ...จะจำไว้ค่ะ รุ้งไม่ให้ใครนอกจากคุณหิน อ่ะ...ได้โปรดชะ...ช่วยรุ้งที อ่า...ไม่ไหวแล้ว” ใกล้รุ้งบิดส่ายเอวไปมาตามเอวสอบที่หมุนควงทวนเข็มนาฬิกาด้วยความทรมานที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
“โอว์...เก่งมาก รู้จักเอาตัวรอด อ่า...เธอฉลาดดี ฉันชอบเด็กน้อย อ่า...พร้อมกัน ซี้ด แน่น ตอดรัดดีแบบนี้จะแตกแล้วนะ อ่า...”
พั่บ! พั่บ! พั่บ!
เขาเร่งเร่าสาวเอวสอบซอยถี่จนในที่สุดเขาและเธอก็ถึงความสุขพร้อมกัน กองพลปล่อยสายธารอุ่นร้อนของตัวเองในกายสาวเหมือนเช่นค่ำคืนที่ผ่านมาโดยที่ตัวเขาเองลืมกฎไปเลยว่าเขาจะไม่ปล่อยตัวเองในกายสาวคนไหน และอีกอย่างทุกครั้งเขาไม่เคยลืมป้องกัน แต่ตอนนี้เขาลืมมันไปเสียสนิท เพราะความสวยงามของเด็กสาวที่กำลังให้ความสุขกับตัวเองบนเตียง
“อ่า...แค่นี้ไม่พอหรอกนะ เช้าๆ แบบนี้ฉันกินเยอะเสียด้วยสิ”
“อ่ะ...อ่อย” แล้วใกล้รุ้งก็ร้องครางเสียวซ่านออกมาอีกครั้งเมื่อความสุขที่ได้พบก่อนหน้าได้เริ่มสร้างความทรมานให้เธออีกครั้งเมื่อเอวสอบเริ่มขยับโยกจังหวะอีกครั้ง
พั่บ! พั่บ! พั่บ!
เกษมที่เกษียณตัวมาอยู่บ้านเพราะลูกชายทั้งสามของตัวเองโตเป็นควายกันหมดแล้ว ใช่...ลูกๆ ทั้งสามโตจนควรจะมีครอบครัวได้แล้ว แต่ก็ต้องทำให้เขาที่เป็นพ่อหม้ายลูกติดเมียทิ้งไปแต่งงานใหม่แล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนเขาก็ต้องเลี้ยงดูลูกน้อยทั้งสาม แม้ภรรยาจะทิ้งไปตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เคียดแค้น โกรธ เสียใจแต่อย่างไรกลับยินดีเสียด้วยซ้ำที่ตอนนี้นารีมีความสุขกับชีวิตคู่กับสามีใหม่ ส่วนเขาก็ไม่ได้คิดสนใจจะแต่งงานใหม่ สำหรับเกษมแล้วความสุขคือลูกชายทั้งสามอย่างกองพล กองบิน และกองทัพ เมื่อก่อนเขาเคยเป็นทหารอากาศ แต่ลาออกมารับช่วงธุรกิจจากมารดา จากนั้นไม่นานท่านก็จากไปและเขาเองก็ได้รู้จักกับแม่ของลูกและตัดสินใจแต่งงานกัน แต่ชีวิตคู่ไปไม่รอดก็ต้องแยกทางกัน
ปีนี้กองพลอายุสามสิบเก้าย่างสี่สิบ กองบินก็อายุย่างสามสิบแปด และกองทัพลูกชายคนเล็กก็ย่างสามสิบหกปี แต่ละคนแก่กันแล้วแต่ยังไม่แต่งงานกันสักคน และไม่มีแฟนสักคน ลูกชายทั้งสามรักสนุกจนพ่ออย่างเขากลัวเหลือเกินว่าทั้งสามจะติดโรคเข้าสักวัน
เฮ้อ!
เกษมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ เมื่อปิดหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับตอนเช้าลง นี่ก็จะเก้าโมงเช้าแล้ว กองพลคนที่ตื่นเช้าที่สุดในบ้านก็ไม่เห็นตื่นมาทานมื้อเช้ากับตัวเอง ส่วนกองบินนั่นเหรอ ตอนนี้บินไปคุยงานที่ฝรั่งเศส และกองทัพก็ไปดูแลโรงงานผลิตหลังคาที่สระบุรี จะมีแต่กองพลที่อยู่บ้านกับเขาตอนนี้
“พี่บู่ผมล่ะมีลูกก็เหมือนไม่มีตอนนี้ เฮ้อ!” เขาเอ่ยจบก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งพร้อมวางหนังสือพิมพ์ในมือไว้กลางโซฟาแล้วคว้าหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
“ทำไมพูดแบบนั้น ตาหินก็นอนอยู่บนบ้าน” บู่ พี่สาวคนเดียวของเกษม ที่เป็นสาวโสดจนตอนนี้อายุ 71 ปีแล้วและเป็นคนที่อยู่กับตัวเองและช่วยเลี้ยงลูกๆ ตัวดีของตนเองจนโตเป็นควายถึกเหมือนทุกวันนี้
“มันเคยตื่นสายที่ไหนพี่บู่ไอ้หินน่ะ แต่วันนี้มันแปลก มันไม่เคยทำให้เราทานข้าวกันตามลำพังเลยนะพี่” เกษมเอ่ยกับพี่สาว
“ตาหินอาจเหนื่อยก็ได้พ่อเษม” นางเอ่ยอย่างที่คิด
“พี่บู่ให้เด็กไปตามมันสิ มันจะไปเหมืองไหมวันนี้ มันผิดปกติมันนะ ถ้าจะหยุดงานหรือตื่นสายมันต้องป่วย แต่นี่มันเงียบเลย ปกติจะตื่นสายมันจะบอก” เกษมเอ่ย เพราะลูกชายไม่เคยเงียบเฉยไปแบบนี้
“อือ...งั้นพี่ให้เด็กไปตามพ่อหินนะ อ้อ...วันนี้พ่อเษมจะไปในเมืองไหม”
“ไปครับพี่ ผมว่าจะไปดูต้นไม้มาจัดสวนหลังบ้านไว้ก่อน และจะซื้อม้าโยกมาตั้งไว้ในสวนด้วยครับ” เขาบอกพี่สาว
“ซื้อมาทำไม บ้านเราไม่มีเด็ก”
“ผมก็อยากตกแต่งไว้นี่ครับ ถึงจะไม่มีเด็กก็เถอะ” เกษมเอ่ย
“งั้นก็ตามใจพ่อเษมเถอะ พี่จะไปดูพ่อหินกับเด็กรับใช้สักหน่อย”
“ครับ ผมก็อยากซื้อตกแต่งไว้ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่ายังไงชาตินี้ผมก็ไม่มีหลานหรอก เพราะไอ้หิน ไอ้เหมและไอ้เหิม พวกมันคงครองตัวเป็นโสดจนแก่ตาย” เขาตัดพ้อลูกชายทั้งสามคนของตัวเองในตอนท้าย
“เอาน่า ถึงเวลาก็มีเองแหละ อย่าเร่งลูกเลยพ่อเษม”
“พี่บู่ก็พูดแบบนี้ตลอด จนตอนนี้ไอ้หินมันจะสี่สิบแล้วนะครับ อีกห้าเดือนมันก็จะสี่สิบปีแล้วนะพี่บู่ มันไม่เด็กแล้วนะ อีกอย่างไอ้เหม ไอ้เหิมก็เหมือนกัน สามสิบกว่ากันแล้ว ไม่กี่ปีก็จะสี่สิบปีแล้ว แก่แล้วนะพี่”
“พี่ไปดูหลานก่อนนะ พ่อเษมน่ะกังวลเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้จะเอาแต่ใจเราไม่ได้ ต้องแล้วแต่พรหมลิขิตของสามหนุ่มจ้ะ”
แล้วนางก็ลุกจากโซฟาราคาแพงเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นทันที ส่วนเกษมก็รินน้ำชาในกาน้ำชาใส่แก้วยกดื่มเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตัวเองในตอนนี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้เลย เขาได้แต่ถอนหายใจดังออกมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงอายุลูกชายคนโตของตัวเองในตอนนี้ แต่ก็ไม่อยากบังคับ เพราะเขาเลี้ยงทั้งสามมาให้มีความคิดเป็นของตัวเองและตัวเขาเองก็เคารพการตัดสินใจของลูก ตอนนี้เกษมได้แต่บอกตัวเองว่า ‘ปลงเสียเถิด...’
เฮ้อ!